การพยายามอยู่ในอำนาจต่อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพลพรรคใน คสช. ด้วยเหตุผลว่าจำเป็นเพื่อสานต่องานที่ทำไว้ ไม่ว่าจะเรื่องยุทธศาสตร์ของชาติ หรือเรื่องปฏิรูปต่างๆ นั้น เป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์พยายามสื่อสารให้สังคมสนับสนุนและเข้าใจ
แต่เหตุผลที่ยังไม่ได้สื่อสาร ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักพอสมควรต่อการตัดสินใจอยู่ในอำนาจต่อ น่าจะเกิดจาก ภยาคติ หรือ ความกลัว 2 ประการ คือ หนึ่ง กลัวระบอบทักษิณจะกลับมามีอำนาจ และ สอง กลัวว่าเมื่อลงจากอำนาจแล้ว จะถูกฝ่ายตรงข้ามเช็คบิล
ความต้องการอยู่ในอำนาจต่อนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่มีมานานตั้งแต่ปี 2558-2559 แล้ว หลักฐานที่ชัดเจนคือ การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติสายทหาร เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2558 อันนำมาสู่ประโยคอันลือลั่นของนายบวรศักดิ์ ในฐานะประธานกรรมาธิการยกร่าง ว่า “เขาอยากอยู่ยาว”
หลักฐานที่ชัดเจนอีกชิ้นหนึ่งของความต้องการอยู่ในอำนาจต่อ คือ หนังสือจากคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ รธ. 122/2559 ลงวันที่ 29 มกราคม 2559 เรื่องข้อเสนอต่อร่างรัฐธรรมนูญ 16 ข้อ ลงนามโดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแนะนำให้บัญญัติเนื้อหาและการบังคับใช้รัฐธรรมนูญออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรก ให้มีหลักเกณฑ์เสมือนข้อยกเว้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึงออกมาด้วยรูปร่างหน้าตาที่นำมาสู่สถานการณ์ทางการเมืองอย่างที่เห็น
ย้อนกลับมาที่ความกลัว 2 ประการ
ความกลัวว่าระบอบทักษิณจะกลับมามีอำนาจนั้น ไม่เพียงแต่พลเอกประยุทธ์ กับ คสช. จะกลัว ใครๆ ที่ไม่อยากเห็นการทุจริตคอร์รัปชันในบ้านเมืองก็กลัว ความกลัวข้อนี้ทำให้พลเอกประยุทธ์ กับ คสช. มีกองหนุนมากมาย
ส่วนความกลัวที่ว่า เมื่อลงจากอำนาจแล้วจะถูกฝ่ายตรงข้ามเช็คบิลนั้น เป็นเรื่องของกรรมที่ใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับ ประชาชนเขาไม่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าก่อกรรมไว้ดี ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อยู่ในอำนาจตั้งหลายสมัย อยู่จนต้องบอกผู้สนับสนุนว่า “ผมพอแล้ว” เมื่อท่านลงจากอำนาจ มีแต่คนสรรเสริญ ไม่เห็นมีใครเช็คบิลอะไรท่านได้
น่าเสียดายที่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ดำเนินรอยตามพลเอกเปรม ถ้าเข้ามาแก้ไขปัญหาในยามที่บ้านเมืองคับขันถึงทางตันให้เด็ดขาดรวดเร็ว แล้วรีบออกไป พลเอกประยุทธ์ก็จะได้รับการจดจำในภาพงามอีกภาพหนึ่ง
แต่ทุกวันนี้ ภาพของพลเอกประยุทธ์เปลี่ยนไปตั้งแต่ตัดสินใจเล่นการเมือง และประกาศว่า “ผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”
และเมื่อเป็นนักการเมือง การตระบัดสัตย์กลืนน้ำลาย ก็ดูเป็นเรื่องธรรมดา วันก่อนเคยประนามนักการเมืองเลว เคยถามผู้สื่อข่าวว่า ถ้าเลือกตั้งแล้ว ได้นักการเมืองเหล่านั้นเข้ามาจะทำอย่างไร วันนี้ก็นักการเมืองเลวเหล่านั้นแหละที่ถูกดูดเข้ามาสนับสนุนให้ท่านเล่นการเมือง
ที่เลวร้ายและน่าเป็นห่วงกว่า ไม่ใช่นักการเมือง แต่คือบรรดากองหนุนของนักการเมือง กองหนุนประเภทเลือกพวกเลือกฝ่าย ถ้าปักใจจะเชียร์ฝ่ายไหน ไม่ว่าฝ่ายตนทำผิดอย่างไร ก็หลับหูหลับตา ตะบี้ตะบันออกมาเชียร์ ออกมาอธิบาย ออกมาปกป้อง เล่นงานด่าทอแม้กระทั่งคนที่เขาไม่ได้อยู่ฝ่ายไหน เพียงแต่เขาเห็นต่าง เพียงแต่เขาตำหนิเพื่อให้กลับเข้ามาอยู่ในร่องในรอย ในทำนองคลองธรรมที่ควรเป็น
กองเชียร์พวกนี้อันตราย เพราะไม่ได้ยึดถือความถูกต้องชอบธรรมเป็นสรณะ แต่ยึดเอาพวกตนฝ่ายตนเป็นความถูกต้อง ยิ่งในโลกยุคข้อมูลข่าวสารเช่นทุกวันนี้ ที่ใครอยากเขียนอะไร โพสต์อะไรก็ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบ (จนกว่าจะถูกฟ้อง) สังคมก็ถูกครอบงำด้วยบรรยากาศ และความคิดของคนเหล่านี้
คนเหล่านี้แหละที่อันตรายไม่แพ้นักการเมือง คนเหล่านี้แหละที่เป็นกองหนุนและเป็นปุ๋ยให้นักการเมืองเลวงอกงาม
กระทั่งมีการตั้ง กองทัพนักรบไซเบอร์ จากขั้วการเมืองทั้งสองออกมาสนับสนุนและโจมตีกัน
ประชาชนที่รักความถูกต้องชอบธรรม เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ ต้องตั้งสติ ยืนอยู่กับสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม อย่าให้ตนกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงนักการเมืองเลว ไม่ว่าจะฝ่ายไหนขั้วไหนก็ตาม
อะไรถูกก็สนับสนุน เป็นกำลังใจ อะไรไม่ถูก ก็คัดค้าน ตำหนิท้วงติงเถอะ การเมืองจะได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีอนาคตกว่านี้
คุณภาพของการเมืองและนักการเมือง ก็มาจากคุณภาพของประชานนั่นแหละ จะว่าแต่นักการเมืองก็คงไม่ถูก ประชาชนเราก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี