ผู้นำโลกและองค์กรระหว่างประเทศ ร่วมกันมอบเงิน 2.59 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการวิจัย ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 รวมถึงการรักษาผู้ป่วย ขณะที่สหรัฐเตรียมกู้เงิน 97 ล้านล้านบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่วนในยุโรป หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดลง หลังสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
เมื่อวันที่ 5พฤษภาคม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้นำโลกและองค์การระหว่างประเทศ กว่า 40 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศได้ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และได้มีการประกาศร่วมกันมอบเงิน 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 259,840 ล้านบาท เพื่อใช้ในการวิจัย ผลิต และแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 รวมถึงการรักษาผู้ป่วยจากโรคดังกล่าว
นางอูร์ซุลา วอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป(อีซี) กล่าวว่า เงินที่ได้มาจะใช้เพื่อช่วยเริ่มต้นความร่วมมือในระดับโลกซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นหนึ่งเดียวและมนุษยธรรม อย่างไรก็ดีเธอเตือนว่ายังคงจำเป็นต้องใช้เงินอีกมากสำหรับการดำเนินการต่อไปในเวลาข้างหน้า
“วันนี้จะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาของเรา เพราะเป็นวันที่โลกมาร่วมมือกัน มีพันธมิตรต่างๆ มากมาย ซึ่งทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการเอาชนะไวรัสนี้” ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป กล่าว
ทั้งนี้ อีซีได้ประกาศให้เงินสนับสนุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับนอร์เวย์ ส่วนญี่ปุ่นให้เงินสนับสนุนกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านฝรั่งเศส ซาอุดีอาระเบีย และเยอรมนีประกาศลงเงินสมทบ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่สหรัฐและรัสเซียไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการประชุมครั้งนี้ ส่วนจีนซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้มอบให้เอกอัครราชทูตจีนประจำสหภาพยุโรปเข้าร่วมประชุม
ขณะที่ สหภาพยุโรป(อียู) ซึ่งเป็นต้นคิดริเริ่มการจัดประชุมครั้งนี้ ได้ชี้แจงถึงการใช้เงินก้อนนี้ว่า จะใช้เพื่อการพัฒนาวัคซีน ราว 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้ในการวิจัยเพื่อการรักษาผู้ป่วย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จะ และใช้ในการผลิตชุดตรวจสอบอีก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหรัฐเตรียมกู้เงิน97ล้านล้านพยุง ศก.
ทางด้าน นายสตีฟ มนูชิน รมว.รคลังของสหรัฐ กล่าวเมื่อวันจันทร์ ว่ารัฐบาลวอชิงตันกำลังหารือร่วมกันแกนนำของทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการจัดทำงบประมาณฉุกเฉินครั้งใหม่ เพื่อเยียวยาประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19
ทั้งนี้ มนูชินกล่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการลดหย่อนภาษีให้กับภาคธุรกิจ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนร้านอาหารและการเดินทางท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม “ยังเร็วเกินไป” ที่จะคาดการณ์ในตอนนี้ ว่าการเดินทางระหว่างประเทศด้วยเที่ยวบินพาณิชย์จะกลับมาให้บริการได้อีกครั้งในช่วงปลายปีนี้หรือไม่
แม้สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณฉุกเฉินไปแล้วเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 97.17 ล้านล้านบาท ) เพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันท่ามกลางภาวะโรคระบาดครั้งนี้ ด้วยมาตรการที่รวมถึงการแจกเงินโดยตรงให้เป็นรายุบคคลและครัวเรือน แต่รัฐบาลท้องถิ่นหลายรัฐไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การบริหารของพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครต เรียกร้องรัฐบาลกลางของทรัมป์ให้เพิ่มความสนับสนุนด้านการเงินอีก
ต่อมากระทรวงการคลังของสหรัฐออกแถลงการณ์ เรื่องการเตรียมกู้เงิน 2.999 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 97.14 ล้านล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะยังคงเป็นการระดมทุนผ่านการขายตราสารหนี้ให้กับภาคเอชน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 5 เท่า
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังของสหรัฐระบุการกู้เงินตลอดปีที่แล้วไว้ที่ 1.28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 41.46 ล้านล้านบาท) และการที่ภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ตอนนี้พอกพูนสูงเกือบ 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว (ราว 809.75 ล้านล้านบาท) ทำให้มีความกังวลเช่นกันว่าในระยะยาวสหรัฐจะสามารถแบกรับภาระหนี้มหาศาลที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดได้มากเพียงใด แต่หากแผนการกู้เงินครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะเป็นการกู้เงินมากที่สุดของสหรัฐ นับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกเมื่อปลายปี2551
หลายชาติยุโรปผ่อนคลายมาตรการ
สำหรับสถานการณ์ในยุโรป นายแมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในอังกฤษ มีจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม แต่เตือนอย่าเพิ่งประมาท เนื่องจากยังมีผู้ที่ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้ออีกเป็นจำนวนมาก และจากผลการศึกษาพบว่า ผู้ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการ
นายกรัฐมนตรีเอดัวร์ ฟิลิปป์ ของฝรั่งเศส เรียกร้องประชาชนให้ยังคงทำงานที่บ้านเพื่อจำกัดการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ขณะที่ฝรั่งเศสเตรียมผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดหลายอย่างปลายเดือนนี้ ขณะที่ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะในฝรั่งเศสวอนขอกำลังตำรวจช่วยควบคุมผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 เดือนนี้ ธุรกิจทั้งหมดในฝรั่งเศสจะกลับมาเปิดบริการ ขณะที่โรงเรียนต่างๆ จะเริ่มเปิดเรียนตามปกติ
ส่วนที่อิตาลี ประชาชนร่วม 4.4 ล้านคน เริ่มกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติหลังปิดเมืองปิดประเทศไปร่วม 2 เดือน ร้านเหล้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านพิซซ่าเปิดให้บริการได้อีกครั้งแต่เฉพาะนำกลับไปรับประทานที่บ้านหรือให้จัดส่งเท่านั้น นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องสวมหน้ากากอนามัยภายในสถานที่ปิด รวมทั้งการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
ที่เยอรมนี ร้านตัดผมเริ่มกลับมาให้บริการตามปกติตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ทั้งช่างตัดผมและผู้ที่มาใช้บริการต้องสวมหน้ากากอนามัย มีการฆ่าเชื้อหวีและกรรไกรตัดผมทุกครั้งก่อนตัดผมให้ลูกค้าแต่ละคน ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีทยอยผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ ก่อนหน้านี้ ทางการเยอรมนีเห็นชอบให้เปิดให้บริการสนามเด็กเล่น การประกอบศาสนกิจที่โบสถ์ เปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งสวนสัตว์
ติดเชื้อทั่วโลก3.6ล้านดับ2.5แสน
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก นับจนถึงช่วงเย็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ตามเวลาในประเทศไทย พบว่า มียอดผู้ติดเชื้อ 3,660,829 ราย เสียชีวิต 252,682 ราย รักษาหายแล้ว 1,204,210 ราย
โดยสหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก 1,212,955 ราย และเสียชีวิตมากที่สุดในโลกเช่นกัน ที่จำนวน 69,925 ราย สเปน ติดเชื้อ 248,301 ราย เสียชีวิต 25,428 ราย อิตาลี ติดเชื้อ 211,938 ราย เสียชีวิต 29,079 ราย อังกฤษ ติดเชื้อ 190,584 ราย เสียชีวิต 28,734 ราย ฝรั่งเศส ติดเชื้อ 169,462 ราย เสียชีวิต 25,201ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี