เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2567 สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอบทวิเคราะห์ Commentary: Thailand’s Kra land bridge - a white elephant comes charging back ซึ่งเขียนโดย เอียน สโตเรย์ (Ian Storey) นักวิชาการอาวุโสของ สถาบันยูซูฟ อิสฮัค (ISEAS - Yusof Ishak Institute) สถาบันวิจัยในสิงคโปร์ ว่าด้วยความพยายามของไทยในการตัดเส้นทางใหม่เชื่อมการเดินเรือระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก หรือระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย ทั้งการขุดคลองเชื่อมทะเล 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน หรือ “คอคอดกระ-คลองไทย” หรือการสร้างท่าเรือ ถนนและทางรถไฟเชื่อม 2 ฝั่ง เป็นจุดพักและลำเลียงตู้สินค้า หรือ “แลนด์บริดจ์” เนื้อหาดังนี้..
ความคิดที่ไม่ดีสามารถคงทนถาวรได้อย่างน่าประหลาดใจ ในประเทศไทย นี่เป็นกรณีของชนชั้นปกครองที่หลงใหลในการสร้างเส้นทางคมนาคมข้ามคอคอดกระมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 (ปี 2143-2242) เป็นต้นมา ชาวไทยได้ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดถึงข้อดีข้อเสียของการตัดคลองข้ามคอแคบทางตอนใต้ของประเทศ แต่คลองที่ว่านั้นไม่เคยถูกสร้างขึ้นเนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่น่าปวดหัว ความท้าทายทางวิศวกรรม และเหตุผลทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
แต่ข้อเสนอล่าสุดนี้กำลังได้รับการส่งเสริมอย่างกระตือรือร้นโดยรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือน ส.ค. 2566 การมุ่งเน้นเชิงนโยบายของเศรษฐาเป็นเหมือนแสงเลเซอร์ นั่นคือเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังจากการเติบโตที่ซบเซามานานหลายทศวรรษอันเนื่องมาจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาลทหาร และประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี ในขณะที่เศรษฐาเองก็เดินทางไปทั่วโลกเพื่อแสวงหาการลงทุนจากต่างประเทศ กรุงเทพฯ ซึ่งจับตามองสิงคโปร์อย่างอิจฉา ก็มีความทะเยอทะยานที่จะมีบทบาทที่ใหญ่กว่ามากในเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ในการแสวงหาวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่นี้ เศรษฐาได้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดเก่าๆ อีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ การก่อสร้าง “สะพานบก” ที่ทอดข้ามคอคอดกระ
แผนดังกล่าวเรียกร้องให้มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกจากฝั่งอ่าวไทย ที่ จ.ชุมพร และฝั่งทะเลอันดามัน ที่ จ.ระนอง ท่าเรือทั้งสองแห่งจะเชื่อมโยงกันด้วยถนน ทางรถไฟ และแนวท่อความยาว 90 กิโลเมตร เรือที่บรรทุกสินค้าที่ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะขนถ่ายสินค้าที่ชุมพร จากนั้นจะถูกบรรทุกไปยังอีกด้านหนึ่งโดยรถบรรทุกและรถไฟ ในขณะที่เรือที่บรรทุกสินค้าจากเอเชียตะวันตกและยุโรปก็ทำเช่นเดียวกันที่ระนอง
โครงการสะพานบกหรือแลนด์บริดจ์ ถูกนำสนอเป็นครั้งแรกในสมัยรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) ในปี 2548 แต่ก็เงียบหายไปภายหลังจากทักษิณถูกกองทัพทำรัฐประหารในปี 2549 อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกในว่า ภายหลังจากกองทัพทำรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนโดยกองทัพได้รื้อฟื้นแนวคิดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยปรากฏในปี 2563 แต่ล้มเหลวในการดึงความสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในเวลานั้นเกิดปัญหาจากสถานการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่อย่างไวรัสโควิด-19
มาจนถึงปัจจุบัน นายกฯ เศรษฐา ได้ฟื้นฟูแนวคิดแลนด์บริดจ์ โดยนำเสนอข้อดี 3 ประการ ประกอบด้วย 1.ด้วยการหลีกเลี่ยงช่องแคบมะละกาที่คับคั่งมากขึ้น บริษัทขนส่งจะประหยัดเวลาเดินเรือได้สามถึงสี่วัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งลงร้อยละ 15 2.การก่อสร้างจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ 1.3 ล้านล้านบาท (370,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 และช่วยสร้างงานให้กับคนงาน 280,000 คน มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจในภาคใต้ที่พรรคร่วมรัฐบาลประสบภาวะย่ำแย่ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือน พ.ค. 2566 และ 3.จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ถึงกระนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อโครงการแลรนด์บริดจ์ก็ไม่ต่างจากโครงการคอคอดกระ-คลองไทย มีการตั้งคำถามถึงความมีชีวิตทางเศรษฐกิจของโครงการ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะแย้งว่า แม้อาจช่วยลดระยะเวลาการเดินเรือได้จากเส้นทางเดิมที่ต้องไปผ่านช่องแคบมะละกา แต่การขนถ่ายสินค้าที่ปลายด้านหนึ่งส่งไปยังปลายขอีกด้านหนึ่ง แล้วขนขึ้นเรือลำอื่น อาจใช้เวลานานเท่ากับการแล่นผ่านช่องแคบ และจะทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ สะพานบกยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและการประมง ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ของประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้น ในทางภูมิศาสตร์การเมือง การเป็นเจ้าของแลนด์บริดจ์ อาจดึงไทยให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการแข่งขันของ 2 ชาติมหาอำนาจ คือสหรัฐอเมริกากับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจีนเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนการก่อสร้าง
เศรษฐา กล่าวว่า เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะเห็นโครงการนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครขัดขวาง และเสนอไทม์ไลน์ด้วย บริษัทรับเหมาก่อสร้างจะประมูลสัญญาในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกำหนดจะเริ่มการก่อสร้างในปลายปีเดียวกันและแล้วเสร็จภายในปี 2573 โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่สิ่งที่เขายังไม่ได้บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ คือใครจะจ่ายค่าก่อสร้าง โครงการขนาดนี้ต้องใช้เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิดนี้ในสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่น จนถึงขณะนี้การตอบกลับเป็นไปอย่างสุภาพแต่ไม่มีข้อผูกมัด
แม้ว่าบริษัทก่อสร้างของจีนจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการสร้างท่าเรือ ถนน และทางรถไฟที่จำเป็น แต่รัฐบาลจีนเองก็ไม่น่าจะนำโครงการนี้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI)” ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนกระจัดกระจาย ผู้นำของจีนก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้นในการให้ทุนสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่น่าสงสัย เช่น แลนด์บริดจ์ และเมื่อหันไปที่ญี่ปุ่นก็ดูจะไม่สนใจเช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีบริษัทขนส่งรายใหญ่ของโลกรายใดที่รีบร้อนที่จะรับรองข้อเสนอของเศรษฐา
สิงคโปร์ ซึ่งเป็นท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่มีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และอาจเป็นผู้แพ้หากโครงการแลนด์บริดจ์เดินหน้าต่อไป ได้ตอบสนองด้วยน้ำเสียงที่วัดผลได้ดีมาก ผ่านความเห็นของ ฉีหงทัต (Chee Hong Tat) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเมื่อถูกถามในรัฐสภาเกี่ยวกับโครงการนี้เมื่อปี 2566 ที่ขณะนั้นเขายังเป็นเพียงรักษาการ รมว.คมนาคม ฉี ได้เน้นย้ำถึงต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากการจัดการตู้คอนเทนเนอร์สองครั้งในโครงการแลนด์บริดจ์ ขณะเดียวกัน ฉีได้เปรียบเทียบกับความพยายามในการปรับปรุง การเชื่อมต่อ ผลผลิตและประสิทธิภาพในท่าเรือของสิงคโปร์ และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ “ทูอัส (Tusa)” ท่าเรือขนาดใหญ่แห่งใหม่
“เศรษฐาปักธงไว้บนเสาของแลนด์บริดจ์อย่างชัดเจน แต่อนาคตทางการเมืองของเขาเองยังคงไม่แน่นอน โดยผู้สังเกตการณ์หลายคนมองว่าเขาเป็นเพียงตัวแทนของลูกสาวของอดีตนายกฯ ทักษิณ อย่าง แพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หากเศรษฐาถูกแทนที่ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า แนวคิดเรื่องแลนด์บริดจ์อาจจมอไปพร้อมกับเขา หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ผู้สนับสนุนการเชื่อมโยงการขนส่งคอคอดกระไม่จำเป็นต้องกังวล ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป ข้อเสนอนี้เกือบจะกลับมาปรากฏอีกครั้งอย่างแน่นอน ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง” ผู้เขียนกล่าวทิ้งท้ายในบทความ
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.channelnewsasia.com/commentary/thailand-kra-shipping-bypass-malacca-singapore-srettha-thaksin-4059866
ขอบคุณภาพจาก : wannabamm.hatenablog.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี