คาด‘อาเซียน’เผชิญวิกฤติอากาศร้อนจัดต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญเผย‘ไทย’หนักสุด
11 เม.ย.67 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ Searing heat is back across Southeast Asia and it’s not going away anytime soon ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีแนวโน้มเผชิญปัญหาสภาพอากาศร้อนจัดแบบต่อเนื่องยาวนาน โดยยกตัวอย่างหลายเหตุการณ์ อาทิ มีเด็กเล็กเสียชีวิตจากอากาศร้อนในมาเลเซีย ขณะที่เวียดนามต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากภัยแล้งทำให้เกษตรกรในภาคใต้ไม่สามารถปลูกข้าวได้ เช่นเดียวกับนักเรียนในฟิลิปปินส์ที่ต้องเปลี่ยนไปเรียนออนไลน์ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวันอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส
ความร้อนอบอ้าวกลับมาอีกครั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด และมันจะไม่หายไปในเร็วๆ นี้ โดย แม็กซิมิเนียโล เฮอร์เรรา (Maximiliano Herrera) นักอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ภูมิภาคดังกล่าวซึ่งมีประชากรมากกว่า 675 ล้านคน กำลังเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยแทบไม่สามารถบรรเทา “อากาศร้อนชื้นอันไร้ความปรานี” นี้ได้ และในบรรดาประเทศในภูมิภาคนี้ ไทยเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
“การคาดการณ์ความร้อนนั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง อุณหภูมิทั่วประเทศทำลายสถิติไม่หยุดหย่อนเป็นเวลา 13 เดือน และระดับความร้อนและความชื้นก็ไม่หยุดหย่อน เราคิดว่าอุณหภูมิในปีก่อนว่าหนักแล้ว แต่ (สิ่งที่เราเห็น) ในปีนี้ได้ทุบสถิติเดิมไปอีก อุณหภูมิในกรุงเทพฯ จะไม่ลดลงต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส แม้แต่ตอนกลางคืนตลอดทั้งเดือนเมษายน เทรนด์นี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภูมิภาคนี้ต้องเตรียมรับมือกับความร้อนแรงในช่วงที่เหลือของเดือนเมษายนและส่วนใหญ่ของเดือนพฤษภาคม” เฮอร์เรรา กล่าว
ในวันที่ 3 เม.ย. 2567 ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ฤดูแล้งประจำปี เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 109 องศาฟาเรนไฮต์ (42 องศาเซลเซียส) ส่งผลให้หลายคนต้องหลบอยู่แต่ในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ ขณะที่เวียดนาม คลื่นความร้อนทำให้เกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรงมาสู่ภาคใต้ ส่งผลให้อุณหภูมิสูงถึงเกือบ 104 องศาฟาเรนไฮต์ (40 องศาเซลเซียส) สร้างความหายนะให้กับภาคเกษตรกรรมอย่างมาก โดยเวียดนามเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก แต่การที่มีฝนตกน้อยนั้นสร้างปัญหาให้กับเกษตรกรในดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
สื่อท้องถิ่นในเวียดนามเผยแพร่ภาพของนาข้าวและแม่น้ำที่แห้งเหือด และเกษตรกรต้องดิ้นรนโดยไม่มีน้ำฝนสำหรับพืชผลของพวกเขา นอกจากนั้น คลื่นความร้อนที่บันทึกในปี 2566 ส่งผลให้ไฟฟ้าดับอย่างรุนแรงในหลายเมือง ส่วนในปี 2567 นักอุตุนิยมวิทยาชาวเวียดนามเชื่อว่าช่วงฤดูแล้งที่ยาวนานผิดปกตินี้เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นรูปแบบสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติที่มีต้นกำเนิดในมหาสมุทรแปซิฟิกตามแนวเส้นศูนย์สูตรและมีอิทธิพลต่อสภาพอากาศทั่วโลก
แม้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูงขึ้นทุกๆ ทศวรรษนับตั้งแต่ปี 2503 แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหนึ่งในลักษณะที่น่ากังวลที่สุดของคลื่นความร้อนที่แผ่ไปทั่วภูมิภาคในขณะนี้ ก็คือการที่คลื่นความร้อนนั้นยาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บรรดานักวิจัยจากไอคิว แอร์ (IQ Air) กลุ่มวิจัยสภาพภูมิอากาศของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า คลื่นความร้อนในปัจจุบันเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์และปรากฎการณ์เอลนีโญ
“ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่อุณหภูมิสูงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั่วภูมิภาค และขณะนี้ก็ยังไม่มีกำหนดวันที่สิ้นสุดที่แน่นอนที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการลดความร้อนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น รูปแบบสภาพอากาศ และบทบาทของภาครัฐในความพยายามในการบรรเทาผลกระทบ” จดหมายข่าวของ IQ Air ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2567 ระบุ
ความพยายามในการบรรเทาผลกระทบอย่างหนึ่งที่ได้รับการพิจารณาในมาเลเซียคือการเพาะเมฆโดยการฉีดอนุภาคเข้าไปในเมฆ (การทำฝนเทียม) ซึ่งโดยปกติจะมาจากเครื่องบินเพื่อทำให้ฝนตก ซึ่ง อัดลี ซาฮารี (Adly Zahari) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของมาเลเซีย กล่าวว่า ทรัพย์สินทางอากาศของเราพร้อมเสมอ แต่การเพาะเมฆควรคำนึงถึงปัจจัยสภาพอากาศต่างๆ เช่น สภาพเมฆและลม ก่อนที่จะดำเนินการ
มีรายงานผู้เสียชีวิตจากความร้อนอย่างน้อย 2 รายในมาเลเซีย เป็นชายอายุ 22 ปีจากรัฐปะหังทางตอนเหนือ และเด็กชายอายุ 3 ขวบในรัฐกลันตันที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า ทั้งคู่เสียชีวิตด้วยโรคลมแดด ด้านเจ้าหน้าที่ในรัฐซาบาห์ รัฐบนเกาะบอร์เนียว ยังได้รายงานเหตุเพลิงไหม้เกือบ 300 ครั้งที่เกิดขึ้นที่ฟาร์ม ไร่นา และป่าไม้ตลอดเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา
เมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. 2567 อาหมัด ซาฮิด ฮามิดี (Ahmad Zahid Hamidi) รองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มาเลเซียเสี่ยงต่ออากาศร้อนจัด และแม้ขณะนี้ยังไม่ถึงระดับที่สามของคลื่นความร้อนจัด แต่สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขณะที่เสียงสะท้อนของชาวมาเลเซีย อาทิ ไอดิล อิมาน ไอดิด (Aidil Iman Aidid) นักศึกษามหาวิทยาลัย กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นเดือนรอมฎอน ตามประเพณีถือศีลอดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม แต่เดือนรอมฎอนของปีนี้ก็เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายกับการดื่มน้ำให้เพียงพอ
“เรากำลังอยู่ในสภาพอากาศที่เลวร้าย ผมมักจะตื่นขึ้นมาด้วยความกระหายและเหนื่อยล้าหลังจากงีบหลับในช่วงถือศีลอด ยังมีอีกมากที่ต้องทำ และผมอยากเห็นรัฐบาลทั่วทั้งภูมิภาคไม่เพียงแต่ปรับตัว (แต่ยัง) สร้างความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศให้มากขึ้นต่ออันตรายที่รุนแรงด้วย” ไอดิด กล่าว
ที่สิงคโปร์ โรงเรียนบางแห่งได้บอกให้นักเรียนสวมชุดออกกำลังกายที่เย็นและหลวมกว่านี้จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม เนื่องจากอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตามแถลงการณ์ของกระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า กำลังติดตามสถานการณ์ความร้อนและความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อาจเสี่ยงต่อผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
ส่วนที่ฟิลิปปินส์ โรงเรียนหลายร้อยแห่ง ต้องระงับการเรียนการสอนในห้องเรียน (ออนไซต์) แล้วหันไปเรียนทางไกล (ออนไลน์) แทน หลังจากอุณหภูมิสูงเกินระดับที่สามารถทนได้ ซึ่งกลุ่มเฝ้าระวังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กๆ โดยองค์กร Save The Children Philippines ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า นักการศึกษาและหน่วยงานท้องถิ่นถูกบังคับให้ตัดสินใจอย่างสุดโต่งที่จะปิดโรงเรียนหลายร้อยแห่ง เนื่องจากอากาศร้อนจัดส่งผลให้เด็กๆ ไม่มีสมาธิในห้องเรียน และสุขภาพของพวกเขาก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน
“เราจำเป็นต้องเห็นการดำเนินการเร่งด่วนในตอนนี้เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมการไม่ทำเช่นนี้จะส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก” แถลงการณ์ของ Save The Children Philippines กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี