การทำไร่หมุนเวียนใหญ่
อาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสตามรอยการจัดเทศกาลวิถีภูมิปัญญาชาติพันธุ์กะเหรี่ยงหมุนเวียนอย่างยั่งยืนของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) ซึ่งได้นำสาระความรู้และแนวคิดพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและบทเรียนของการทำไร่หมุนเวียนในเอเชีย-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมาคุยกันพร้อมกับเปิดตัวหนังสือ “ต่า ออ เลอ คึ : อาหารในไร่หมุนเวียน” อันเป็นผลจากการศึกษาจากมิติวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงระบบการทำไร่ของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นระบบการทำไร่ลักษณะหมุนเวียนโดยมีการหมุนเวียนใช้พื้นที่ประมาณ ๗-๑๐ ปี เพื่อทำให้ระบบนิเวศน์ที่ถูกทำลายไปนั้นได้ฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมและทำการปลูกพืช หลายชนิดในไร่ ได้แก่ พันธุ์ข้าว ถั่ว แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว และเครื่องเทศหลายชนิด ตามความเชื่อเก่าที่เชื่อว่าการทำไร่นั้นเปรียบเสมือนการเหยียบบนท่อนไม้ไผ่ คือไม่มีความแน่นอนในด้านผลผลิต ด้วยขึ้นอยู่กับคุณภาพดิน และสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละปี อันมีตำนานการทำไร่หมุนเวียนเล่าขานไว้หลายเรื่อง เช่น หน่อ ส่อ ซริ (คนกับผี) จอ ปา จอ โผ่ แฆ (กษัตริย์กับยาจก) กอ แกละ (สิงห์โตกับเด็กสาว) เป็นต้น
ดังนั้น ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ชาวกะเหรี่ยงได้เริ่มต้นเลือกหาพื้นที่สำหรับถางไร่ เพื่อให้เกิดวงจรชีวิตเริ่มต้นในรอบปีใหม่มาถึงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้พื้นที่แล้ว ก็ทำเครื่องหมายกากบาทเอาไว้ที่ต้นไม้แสดงให้รู้ว่า พื้นที่ตรงนี้มีเจ้าของจับจองแล้ว สำหรับการคัดเลือกพื้นที่ทำไร่ยึดหลักการว่าไม่เป็นพื้นที่ป่าต้องห้ามตามประเพณี ไม่เป็นข้อห้ามตามประเพณีในการเลือกพื้นที่ทำไร่และไม่มีลางบอกเหตุ จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ถึงเวลาลงมือฟันไร่ ก่อนลงมือฟันไร่หัวหน้าครอบครัวจะอธิษฐานให้ต้นไม้ตายให้แตกหน่อ ไม้ไผ่ตายให้แตกหน่อ เมื่อถึงเวลาจึงหว่านข้าวเจ้าซึ่งมีการเตรียมพื้นที่ปลูกแม่ข้าว ชายหนุ่มจะปักหลุมและหญิงสาวจะหยอดข้าว เมื่อเสร็จแล้วหากยังมีเชื้อข้าวเหลืออยู่ในมือของผู้หยอดข้าวเจ้าของไร่จะให้เก็บรวมกันไว้ในกระชุ หญิงสาวผู้หยอดข้าวแรกจะหยิบมาหน่อยหนึ่ง แล้วหยอดเป็นหลุมสุดท้าย จากนั้นก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
นอกจากนี้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องจากการทำไร่ เช่น พิธีกินเชื้อข้าว พิธีเลี้ยงผี พิธีเลี้ยงผีไร่ขอพร พิธีเลี้ยงไร่ปัดรังควาญ พิธีเลี้ยงเทพอัคคีพิธีเลี้ยงเทพขวัญข้าว พิธีไล่ความชั่วในไร่ปัจจุบันการทำไร่เริ่มเลือนหายไปจากชนเผ่ากะเหรี่ยง ด้วยมีอาชีพใหม่ๆ และมีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่และสิ่งแวดล้อม นายพีรพน พิสณุพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ได้ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญของชาวกะเหรี่ยง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติสิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา การรักษาวิถีการทำไร่หมุนเวียนให้คงอยู่ ซึ่งเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนนโยบายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตกะเหรี่ยงและธรรมชาติ ได้ทำเกษตรกรรมแบบไร่หมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อป่า รวมไปถึงการจัดแสดงผลผลิตจากไร่หมุนเวียน ที่ได้นำภูมิปัญญามาต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างสร้างสรรค์
ดังนั้น การให้ประชาชนในพื้นที่เมืองหลวงได้รับทราบและได้เข้าใจวิถีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ทำให้การกำหนดนโยบายโดยไม่ได้ศึกษาหรือเข้าใจวิถีชีวิตของ
ท้องถิ่นนั้นจึงก่อให้เกิดอันตรายต่อวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งผลให้อัตลักษณ์วัฒนธรรมบางอย่างอาจสูญหายไปในอนาคตได้ การเรียนรู้วิถีชีวิตการทำไร่หมุนเวียน และการรักษาสมดุลแบบฉบับชาวกะเหรี่ยง โดยมีแบ่งป่าตามการใช้ประโยชน์ออกเป็น ๖ ประเภท จึงเป็นการสร้างความเข้าใจใหม่ต่อสังคมว่า ไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอยตามที่สังคมเข้าใจกันมานาน ดังนั้นการศึกษาวิจัยและการเสวนาจึงเป็นฐานข้อมูลให้แก่รัฐ ได้ศึกษาก่อนที่จะนำกฎเกณฑ์ของส่วนกลางไปบังคับใช้กับกลุ่มชาติพันธุ์ หากไม่ได้ศึกษาในวิถีภูมิปัญญาอย่างละเอียดลึกซึ้ง ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเกิดผลร้ายต่อวิถีชีวิต รวมถึงกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองได้วิถีกะเหรี่ยง จึงเป็นตัวแบบหนึ่งจากภูมิปัญญาชุมชนคนอยู่ป่าทำไร่ทำนาอย่างยั่งยืนมาก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี