การมีผิวที่เนียนสวย สดใสเป็นเรื่องที่หนุ่มสาวทั้งหลายต่างให้ความสำคัญ แต่ด้วยแสงแดดและมลพิษต่างๆ ที่ต้องเจออยู่ทุกวัน ทำให้ใบหน้าหมอง คล้ำ ดำ อีกทั้งกระและฝ้า ไหนจะอายุที่มากขึ้น ทำให้การดูแลผิวเป็นไปได้ยากมากขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีโรคผิวหนังต่างๆ ที่อาจมาเยือนโดยไม่ได้เชื้อเชิญอีก เช่น บางคนอาจมีผิวด่างขาว หรือบางคนเป็นคนเผือก หรืออดีตนักร้องผิวสีชื่อดังไมเคิล แจ็คสัน ทำไมถึง
ผิวขาวขึ้นได้
ข้อมูลจาก ผศ.พญ.สุวิรากรโอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการคลินิกสยามเดอร์มาติกส์ เปิดเผยว่าผิวด่างขาว เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งเรียก โรคด่างขาว หรือ วิทิลิโก (Vitiligo) โรคนี้พบได้ 1-2% ของประชากรโลก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบเห็นโรคนี้ ลักษณะโรคนี้ คือ พบรอยด่างสีขาวเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังโดยไม่มีผื่นคันนำมาก่อน ผิวส่วนอื่นมีลักษณะเป็นปกติทุกอย่าง รูปร่างรอยด่างอาจกลมรี หรือเป็นเส้นยาวก็ได้ มีขนาดต่างกันตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ อาจมีวงเดียวหรือหลายวง กระจายได้ทั่วตัว ลักษณะสีผิวจะสีขาวเหมือนชอล์ก บางคนก็ว่าเหมือนน้ำนม ตำแหน่งที่พบบ่อย คือ ใบหน้า รอบปาก รอบดวงตา คอ มือ ปลายนิ้ว แขน ขา และตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวมาก ได้แก่ ข้อพับ เข่า ข้อมือ หลังมือ เป็นต้น นอกจากที่ผิวหนังแล้ว ยังพบรอยด่างได้ตามเยื่อเมือกบุในอวัยวะต่างๆ เช่น ในช่องปาก เหงือก อวัยวะเพศ หัวนม รอยขาวที่หนังศีรษะ หรือตำแหน่งที่มีขนซึ่งจะทำให้ผมและขนบริเวณนั้นเป็นสีขาวไปด้วย
สาเหตุที่เกิดโรคด่างขาว เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี ( Melanocyte) มีการทำลายเซลล์เม็ดสี ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดในการเกิดโรคด่างขาวมีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึ่งทำให้เกิดการทำลายเซลล์เม็ดสีเช่น จากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานในร่างกาย จากขบวนการ สร้างสีซึ่งมีการสร้างสารที่เป็นพิษต่อเซลล์เม็ดสี จากกลไกการเกิดอนุมูลอิสระ จากภาวะเซลล์เม็ดสีผิดปกติ หรือจากภาวะทางระบบประสาท ซึ่งกลไกต่างๆเหล่านี้มีผลทำลายเซลล์เม็ดสี ทำให้เกิดรอยด่างขาว นอกจากนี้ เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมถึง 30%ซึ่งทำให้เซลล์สร้างสีผิวอ่อนแอและถูกทำลายได้ง่าย
โรคด่างขาวมีอันตรายหรือไม่โรคนี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ภาพลักษณ์ที่ไม่สวยงาม พบว่าคนไข้ส่วนหนึ่งอาจจะสัมพันธ์กับความผิดปกติของอวัยวะอื่นเช่น
l ดวงตา เนื่องจากเยื่อเมือกบุตา มีเซลล์เม็ดสี เป็นส่วนประกอบสำคัญ ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการทางดวงตาร่วมด้วยได้ เช่น ม่านตาอักเสบ
l โรคภูมิต้านตนเอง โรคของต่อมไร้ท่อ (ที่พบบ่อยได้แก่ โรคของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน) โรคเลือด และโรคผมร่วงเป็นหย่อมซึ่งมักพบร่วมกับโรคด่างขาวที่เกิดกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ (Nonsegmental Vitiligo) และโรคด่างขาวที่เป็นกรรมพันธุ์
l โรคทางหู เนื่องจากเซลล์เม็ดสี เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างและการทำงานของหูชั้นในและระบบการได้ยิน จึงอาจพบความผิดปกติทางการได้ยินร่วมกับโรคด่างขาวได้
เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคด่างขาวหรือไม่ ส่วนใหญ่แพทย์วินิจฉัยโรคด่างขาวได้จากลักษณะรอยด่างขาวที่เป็น แต่อาจต้องแยกโรคที่ทำให้เกิดเป็นรอยขาวอื่นๆ ด้วย เช่น เกลื้อน ปานขาว กลากน้ำนม โรคเรื้อน ที่จะมีอาการชาร่วมด้วย หรือผิวหนังด่างจากที่เคยเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่นๆมาก่อน และเนื่องจากโรคด่างขาวสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเองที่เกิดกับอวัยวะ/เนื้อเยื่ออื่นๆ แพทย์จึงอาจตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์
การรักษา ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้ผล 100% การรักษาขึ้นกับตำแหน่ง ความรุนแรง บริเวณที่เป็น ถ้าเป็นน้อยๆ อาจจะให้ครีมทากลบให้สีผิวสม่ำเสมอ และทายากันแดดกันการไหม้แดด ถ้าเป็นบริเวณกว้างมากๆจนเหลือผิวปกติน้อย อาจใช้ยาทาที่ทำลายเม็ดสีฟอกเพื่อทำลายเม็ดสี ให้ผิวเป็นสีขาวหมด (เหมือนที่ ไมเคิล แจ็คสัน เคยทำ)
สำหรับการรักษาโดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้กลับคืนมา มีหลายวิธี ได้แก่
l ยาทา ในกรณีที่เป็นบริเวณน้อยๆ ประมาณ 5-10% ของผิวหนัง อาจใช้ยาทาเฉพาะที่ เพื่อกระตุ้นเซลล์เม็ดสี ให้กลับมาทำงานปกติ ยากลุ่ม
ที่ใช้ เช่น Corticosteroid, Tacrolimus, และ Vitamin D analogue
l การฉายแสงอัลตราไวโอเลตหรือ แสงยูวี (Ultra violet หรือUV light) เพื่อกระตุ้นเซลล์เม็ดสีใช้ในกรณีรอยโรคมีบริเวณกว้าง ซึ่งผลการรักษา ขึ้นกับตำแหน่งของรอยโรค ซึ่งที่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา จะให้ผลดีกว่า ส่วนบริเวณปลายมือ เท้า บริเวณกระดูก และ รอบปาก จะไม่ค่อยได้ผล การรักษาวิธีนี้ ต้องรักษาต่อเนื่อง และสม่ำเสมอเป็นเวลา นาน เป็นเดือนถึงปีผลข้างเคียงจากการรักษา ที่พบคือ อาจมีอาการผิวไหม้แดด สีผิวคล้ำขึ้น อาจมีกระ ฝ้า จุดด่างดำหลังฉายแสงยูวีไปนานๆ ถึงแม้การรักษาโดยแสงยูวี จะสามารถกระตุ้นเม็ดสีกลับมาได้ แต่สีที่กลับมาอาจไม่ทั้งหมด และไม่ได้เรียบเท่ากับสีผิวปกติ
l การใช้เลเซอร์ เช่น Excimerlaser เป็นแสงเลเซอร์ที่สามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินและด่างขาวได้ดี แต่มีข้อจำกัด คือต้องเป็นบริเวณเล็กๆเท่านั้น และราคายังสูงอยู่ ปัจจุบันมี Excimer light (Therabeam) ซึ่งเป็นแสง UVB ที่มีความยาวคลื่น 308 nm สามารถทำในบริเวณที่กว้าง ใช้เวลาน้อย เนื่องจากมี filter กรองแสงที่เป็นอันตรายออก ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาดีขึ้น การรักษาคล้ายการฉายแสงยูวี คือ ต้องทำสัปดาห์ละอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่อง และเพื่อประสิทธิภาพดีขึ้นอาจรักษาร่วมกับการทายาด้วย
l การปลูกถ่ายเซลล์เม็ดสี(Melanocyte Graft) แต่การรักษาวิธีนี้จะต้องเป็นรอยโรคที่สงบ ไม่มีการลุกลามแล้วอย่างน้อย 2 ปี โดยหลีกเลี่ยงการปลูกถ่ายผิวในบริเวณที่มีการเคลื่อน ไหวตลอด เช่น ตามข้อพับ หรือ รอบๆปาก
โรคด่างขาวเป็นโรคที่ไม่อันตรายถึงชีวิตและมีทางรักษาได้แต่อาจจะไม่หายขาด อย่างไรก็ตามหากมีอาการดังกล่าวแล้วไม่สบายใจ หรือเป็นบริเวณกว้างและลุกล่ามเร็ว ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี