ในยุคปัจจุบันการอบรมสั่งสอนลูกเป็นเรื่องท้าทายของพ่อแม่ยุคใหม่ ส่วนใหญ่จะไม่หนักใจเรื่องการชมเชยเมื่อลูกทำความดี แต่จะลำบากใจกับการลงโทษเมื่อลูกทำความผิด ข้อมูลจาก รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก เปิดเผยว่าการลงโทษที่ไม่เหมาะสมอาจจะส่งผลกับลูกด้านร่างกายจิตใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว วันนี้ขอยกตัวอย่างการลงโทษที่ไม่เหมาะสมและเคล็ดลับการลงโทษที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยดังนี้
การลงโทษที่ไม่เหมาะสม
การทำร้ายร่างกาย เช่น การเขกหัว การตบหน้า การบิดหู การหยิก การกระชากผม การเตะ การถีบ การตีด้วยความรุนแรงให้เจ็บตัวโดยใช้อารมณ์ การบังคับให้เด็กอยู่ในท่าทางที่ทรมาน การบังคับให้ออกกำลังกายที่มากเกินไป การบังคับให้ทำงานหนัก การจี้หรือลวกด้วยของร้อน การบังคับให้กินสิ่งที่ไม่ใช่อาหารหรืออาหารที่มีรสชาติที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน เป็นต้น การทำร้ายร่างกายที่รุนแรง ไม่ใช่การลงโทษแต่เข้าข่ายการกระทำทารุณกรรมเด็ก สำหรับบางครอบครัวเข้าใจว่าการตี คือวิธีการลงโทษที่ได้ผลและสามารถแก้ปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกได้ (ซึ่งมักจะได้ผลระยะสั้น) แต่การตีนั้นต้องไม่ใช้อารมณ์และอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งขณะที่ผู้ใหญ่โกรธก็มักจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ดังนั้นโดยทั่วไปจึงไม่แนะนำให้ทำโทษเด็กด้วยการตี เนื่องจากมีการลงโทษอีกหลายวิธีที่ได้ผลดีกว่าในระยะยาว
ใช้คำพูดไม่เหมาะสม การโต้เถียงกัน การตะคอกข่มขู่ การใช้คำหยาบคาย การประจาน การเยาะเย้ย การเหยียดหยาม การเปรียบเทียบกับเด็กอื่นว่าทำอะไรได้ดีกว่า การเรียกด้วยคำสมญานามที่น่าอับอาย เช่น เด็กเหลือขอ เด็กโง่ เป็นต้น การบ่นไปเรื่อยๆ ทำให้เด็กเล็กจับประเด็นไม่ได้ว่าอะไรที่ไม่ควรทำ ส่วนเด็กโตก็เบื่อไม่อยากฟัง
การให้งดเว้นปัจจัยสี่ ไม่ให้กินอาหารมื้อหลัก ไม่ให้ใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมกับ สภาพภูมิอากาศไม่ให้การดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วย การขังให้อยู่นอกบ้าน
การลงโทษโดยใช้ความรุนแรงกับเด็ก ส่งผลถึงร่างกายที่บาดเจ็บ จิตใจที่โกรธแค้น หวาดกลัวรู้สึกผิด อับอาย วิตกกังวล ขาดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด ซึ่งส่งผลให้เด็กรับรู้ว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดาที่ได้รับการยอมรับในสังคม และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบใช้ความก้าวร้าวรุนแรงกับคนในครอบครัวและสังคมในอนาคตต่อไป
การลงโทษที่เหมาะสม
งดสิ่งของหรือกิจกรรมที่เด็กชื่นชอบ เช่น ถ้าลูกเสียงดังจะถูกตัดเวลาในการดูทีวี.หรืออดกินไอศกรีม ทำการบ้านไม่เสร็จงดไปเตะฟุตบอล เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกเดือดร้อนและไม่อยากเสียสิทธิ์ตรงนี้ไป เขาก็จะไม่กล้าทำพฤติกรรมที่ไม่ดี
Time out เป็นการแยกเด็กออกจากสิ่งกระตุ้นหรือความสนใจจากสิ่งรอบข้างชั่วคราว เด็กจะไม่ได้รับความสนใจจากใครเลย ไม่มีของเล่น ไม่มีอะไรให้ทำ ณ ขณะที่ time out อยู่ แต่ไม่ควรขังให้เด็กอยู่ในห้องคนเดียว เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ควรเป็นการกักบริเวณของเด็กไม่ว่าจะเป็นมุมห้อง หรือนั่งบนเก้าอี้ จนกว่าจะครบกำหนดเวลา (เวลาที่เหมาะในการให้เด็กอยู่ใน time-out ควรอยู่ระหว่าง 2-5 นาที ถ้าเวลานานเกินไป เด็กเล็กๆ จะลืมว่าทำไมถึงถูก time out) ถ้าลูกลุกก่อนถึงเวลา จะต้องเริ่มต้นใหม่ ทั้งนี้การใช้ time-out ควรเลือกใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี มักใช้กับพฤติกรรมที่เด็กอาละวาดและควบคุมตนเองไม่ได้จะได้ผลดีต้องทำอย่างสม่ำเสมอและทำทันทีที่เห็นเด็กมีพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข เช่น เมื่อเด็กทำลายข้าวของเวลาโกรธก็ต้องจับเด็กให้ไปนั่งให้สงบทันที เป็นต้น
ให้รับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ ฝึกให้รับผิดชอบในสิ่งที่ทำผิดโดยพ่อแม่จะต้องหนักแน่น คงเส้นคงวาด้วยท่าทีและอารมณ์ที่เป็นปกติมั่นคง เช่น เด็กเล็กทำน้ำหกที่พื้นแม่ควรหาผ้ามาให้เขาช่วยเช็ดน้ำที่หก เด็กโตทำแก้วแตกให้เขาเก็บเศษแก้วไปทิ้ง การตัดค่าขนมเพื่อชดเชยกับสิ่งของที่ลูกทำเสียหาย เป็นต้น
สอนและตักเตือนด้วยวาจา เป็นการบอกให้ลูกทราบถึงเหตุและผลว่า สิ่งที่ทำไม่ถูกต้องอย่างไรและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ลูกควรทำควรเป็นอย่างไร อาจใช้น้ำเสียงที่เรียบๆ แต่หนักแน่นจริงจัง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสมควรได้รับการแก้ไข และที่พ่อแม่เตือนก็เพราะไม่อยากเห็นลูกทำผิดไม่ใช่เพราะโกรธหรือไม่รัก ถ้าเป็นเด็กเล็กควรอธิบายสั้นๆ ถ้าเด็กโตหรือวัยรุ่น สามารถแลกเปลี่ยนเหตุผลกับลูกได้ พ่อแม่เองก็สามารถจะเข้าใจและเหตุผลที่ลูกกระทำ ลูกเองก็จะได้เข้าใจในมุมมองของพ่อแม่
ส่งสัญญาณเตือนที่เข้มงวด หากลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พ่อแม่ต้องส่งสัญญาณเตือนให้ลูกหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการจัดการกับพฤติกรรมของเขา โดยการเตือน อาจใช้น้ำเสียงที่เข้มขึ้น เพื่อให้ลูกรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ ลูกเองก็มีโอกาสแก้ตัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจหากต้องถูกลงโทษ สำหรับวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลทุกครั้ง คือ การนับ 1…2..3 ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ จะลงโทษลูกแล้วนะ หรือใช้สายตาที่เข้มงวดหยุดการกระทำผิดของลูก หากทำเป็นประจำเมื่อลูกทำผิด จะทำให้เขาเรียนรู้ภาษากายที่คุณกำลังสื่อสารเพื่อการหยุดทำสิ่งเหล่านั้นทันที
การลงโทษควรพอเหมาะกับความผิดและการรับรู้ตามวัยของลูก และเมื่อสิ้นสุดการลงโทษลูกควรกลับสู่การยอมรับของครอบครัวได้ตามปกติ ทั้งนี้ไม่ว่าคุณจะลงโทษลูกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม คุณจะต้องทำทันทีหลังจากที่ลูกทำผิดพร้อมกับให้เขาได้เรียนรู้ด้วยว่าทุกสิ่งที่เขากระทำลงไปย่อมมีผลตามมาเสมอ และเมื่อเขาสงบลงก็ถึงเวลาที่พ่อแม่ลูกต้องนั่งพูดคุย อธิบายเหตุผลให้ลูกเข้าใจว่าทำไมการกระทำนั้นจึงผิดส่งผลไม่ดีอย่างไร เพราะหากไม่อธิบายเขาจะสับสนและทำผิดซ้ำอีกในครั้งต่อไป ขณะเดียวกันถ้าเด็กมีพฤติกรรมที่ดี ทำตามที่พ่อแม่บอกก็ควรจะมีรางวัลให้ โดยรางวัลนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งของเสมอไป อาจเป็นคำชมเชย การยิ้ม การโอบกอด ลูบหัวนอกจากนี้คุณจะต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กด้วยว่า ลูกของเราเป็นเด็กอย่างไร เช่น ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ หรือเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง จะได้รู้เท่าทันและหาวิธีลงโทษได้ถูก เพราะบางครั้งลูกของเราสองคน ทำผิดเรื่องเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้วิธีการลงโทษแบบเดียวกันแล้วจะได้ผลเหมือนกัน
การเลี้ยงลูกนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปแค่ต้องเลี้ยงเขาด้วยความรักและเหตุผล ไม่ใช่เลี้ยงด้วยอารมณ์ เพียงเท่านี้การลงโทษของคุณก็จะช่วยให้ลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี