พิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์จากทุกจังหวัด
วันที่ ๖ เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีพิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งน้ำสำคัญทั่วประเทศ สำหรับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ขาดไม่ได้นั้นคือ น้ำจาก สระทั้งสี่ ในตำบลท่าเสด็จ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ อาทิตย์นี้ได้ตามหาภูมิน้ำศักดิ์สิทธิ์จากสระน้ำโบราณ โดยมี นายอรุณศักดิ์กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร ผู้เคยรับผิดชอบพื้นที่แห่งนี้ได้ให้ข้อมูลจากการศึกษาของนักโบราณคดี ด้วยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนั้นได้มีการเตรียมพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งสำคัญทั่วประเทศสำหรับนำมาเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกและน้ำอภิเษกในเดือนเมษายนนี้ ก่อนที่จะนำน้ำดังกล่าวเข้าไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งน้ำที่พลีกรรมนำมานั้นจะต้องมีความพิเศษกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป
จากตำราโบราณของพราหมณ์นั้นระบุว่าต้องเป็นน้ำที่มาจาก “ปัญจมหานที” หรือแม่น้ำสายสำคัญ ๕ สาย ในชมพูทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำมหิ แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู โดยน้ำในแม่น้ำทั้ง ๕ สายนี้ ไหลมาจากเขาไกรลาส หรือภูเขาหิมาลัย ซึ่งศาสนาฮินดู-พราหมณ์ ถือว่าเป็นสถานที่สีขาวอันเป็นสถานสถิตของพระผู้เป็นเจ้าของฮินดูคือพระศิวะพระนารายณ์ เทพนับถือของไศวะนิกายและไวษณพนิกายอันเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรือเทพเจ้าที่เคารพนับถือในชมพูทวีปและสุวรรณภูมิ
คณะตามรอยสระทั้้งสี่
สมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยานั้นได้กล่าวถึงพิธีราชาภิเษก แต่ไม่พบหลักฐานการนำน้ำปัญจมหานทีในชมพูทวีปมาใช้ในราชพิธี แต่ก็เชื่อได้ว่าพราหมณ์ผู้ทำพิธีและเผยแพร่ศาสนาฮินดูนั้นน่าจะนำน้ำจากแหล่งสำคัญใส่ภาชนะติดตัวมาสำหรับทำพิธีเช่นเดียวกับสิ่งเคารพอื่นๆ ได้แก่ ศิวะลึงค์ขนาดเล็ก เช่นเดียวกับพระเถระในศาสนาพุทธ ซึ่งพบธรรมจักรขนาดเล็กดังนั้นการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์จากปัญจมมหานทีจึงใช้ในลักษณะการเติมลงน้ำในหม้อบูรณฆฏะหรือเติมลงในสระน้ำเพื่อใช้สำหรับทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพราหมณ์ได้กำหนดและมีบทบาทสำคัญในพระราชพิธีของราชสำนักที่มีกษัตริย์ครองแผ่นดินแต่ละประเทศ “น้ำจากปัญจมหานที” จึงเป็นน้ำศักดิสิทธิ์ที่น่าจะน้ำมาพร้อมกับการเผยแพร่ศาสนาฮินดู-พราหมณ์
ดังนั้นในวาระกษัตริย์พระองค์ใดเสด็จผ่านพิภพ จะต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกภายใน ๗ วัน หรืออย่างช้าภายในเดือนเศษอันเป็นประเพณีปฏิบัติสืบมาและกระทำกันก่อนที่จะออกพระเมรุมาศพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน หรือจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแผ่นดินในเวลานั้น
สระทั้้งสี่มีมาแต่สุวรรณภูมิ
จากหลักฐานการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นในหลักศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งแคว้นสุโขทัยนั้นได้กล่าวถึงพ่อขุนผาเมืองอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นผู้ปกครองสุโขทัยมีข้อความจารึก เมื่อ พ.ศ. ๑๑๓๒ ว่า “น้ำพุที่ออกมาจากเขาลิงคบรรพตข้างบนวัดภูใต้นครจำปาศักดิ์นั้นใช้เป็นน้ำอภิเษก” และสมัยอยุธยามีหลักฐานการใช้น้ำสำหรับพิธีบรมราชาภิเษกจากน้ำในสระทั้งสี่ คือ สระเกษ สระแก้ว สระคา สระยมนา ที่ตั้งอยู่ในสุวรรณภูมิ คือเมืองสุพรรณบุรี เท่านั้น
ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์นั้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ นั้น ยังใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันกับในสมัยอยุธยาแล้ว ยังได้นำน้ำจากแม่น้ำสำคัญอีก ๕ สาย ซึ่งเรียกกันว่า “เบญจสุทธิคงคา” โดยตักมาจากเมืองต่างๆ คือ ๑.น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย จังหวัดเพชรบุรี๒.น้ำในแม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม ๓.น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่บางแก้ว จังหวัดอ่างทอง ๔.น้ำในแม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี ๕.น้ำในแม่น้ำบางประกงตักที่ตำบลพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก โดยน้ำแต่ละแห่งนั้นได้นำมาตั้งพิธีเสก ณ ปูชนียสถานสำคัญของเมืองนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงจัดส่งเข้ามาทำพิธีการต่อที่พระนคร
ด้วยเหตุนี้ สระทั้งสี่แต่โบราณของแคว้นสุวรรณภูมิ จึงมีการตั้งชื่อสระสอดคล้องตามคติของปัญจมหานทีในอินเดีย ซึ่งมีหลักฐานว่ามีการนำน้ำจากสระทั้งสี่มาเป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกและน้ำสรงในพระราชพิธีต่างๆ ของพระมหากษัตริย์มาตลอด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี