ในยุคนี้ผู้คนให้ความสนใจในการใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกในการส่งเสริมสุขภาพ และรักษาโรคมากขึ้นโดยเฉพาะกระแสการใช้กัญชาทางการแพทย์เป็นที่กล่าวถึงกันอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ข้อมูลจาก อาจารย์เภสัชกรดร.เชาวลิตมณฑล วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า พบว่ามีการนำกัญชามาใช้รักษาตนเองโดยขาดความรู้ความเข้าใจ ส่งผลให้ได้รับอันตรายจากการใช้กัญชาได้ บทความนี้จะให้ความรู้เบื้องต้นสำหรับการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ประชาชนควรรู้ โดยบทความนี้ไม่หมายรวมถึงการนำไปใช้เพื่อการสันทนาการหรือการเสพกัญชาอย่างผิดกฎหมาย
พืชกัญชามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa subsp. indica พืชกัญชามีชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกับ กัญชง (Cannabis sativa subsp.sativa) แต่แตกต่างกันที่สปีชีส์ย่อย ส่วนของพืชกัญชาที่นำมาใช้ทางการแพทย์ คือ ช่อดอกเพศเมีย ประเทศไทยจัดกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 สารออกฤทธิ์ที่พบได้ในกัญชาเป็นสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ ในกัญชาพบสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ประมาณ 100 ชนิด และสารอื่นๆ อีกประมาณ 400 ชนิด แต่สารสำคัญของกัญชาที่รู้จักกันทั่วไป จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เดลต้า-9-เตตระไฮโดรแคนนาบินอลหรือทีเอชซี (THC) และแคนนาบิไดออลหรือซีบีดี (CBD) สารทีเอชซี (THC) เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึกเคลิ้มฝัน แก้ปวด แก้คลื่นไส้อาเจียน กระตุ้นความอยากอาหาร ส่วนสารซีบีดี(CBD) มีฤทธิ์คลายกังวล เป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์เสพติด สามารถรักษาอาการทางจิตและประสาท แก้ปวด แก้อักเสบ และต้านการชัก
ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์มีประโยชน์ในหลายโรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักที่รักษายากบางชนิดและโรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และภาวะปวดเส้นประสาท
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กัญชาน่าจะได้ประโยชน์ในการควบคุมอาการสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง โรคพาร์กินสัน โรคปลอกประสาทอักเสบอื่นๆ และโรควิตกกังวล
ปัจจุบันยังไม่มีขนาดยาเริ่มต้นที่แน่นอนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา แต่ควรเริ่มใช้ในขนาดต่ำและปรับขนาดยาเพิ่มขึ้นช้าๆ จนได้ขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดและเกิดผลข้างเคียงต่ำซึ่งขนาดยาที่ผู้ป่วยแต่ละรายตอบสนองจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับลักษณะของผู้ป่วย โรคที่ผู้ป่วยเป็น และผลิตภัณฑ์ที่ใช้
แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางการรักษาตามวิธีมาตรฐานไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์จากกัญชาเป็นทางเลือกแรก แต่แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกรองลงมา หรือใช้ควบคู่กับการรักษาตามวิธีมาตรฐาน
น้ำมันกัญชาที่ใช้กันปัจจุบันและซื้อขายในตลาดใต้ดิน มักจะเป็นสารสกัดหยาบของกัญชาในเอทิลแอลกอฮอล์ ที่กำจัดแอลกอฮอล์ออกแล้ว ดังนั้นสารสกัดจึงมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ค่อนข้างสูง การนำมาใช้จะต้องมีการเจือจางก่อน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณสารที่สูงเกินไปจนเกิดอันตรายได้ น้ำมันที่นิยมใช้เพื่อเจือจางสารสกัดกัญชา ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันพืช เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก เป็นต้น
การใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบยาหยดใต้ลิ้น ระยะเวลาที่สารสำคัญถึงระดับสูงสุดในเลือด อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง ทำให้ผู้ป่วยบางรายเข้าใจผิดว่า ไม่ตอบสนองต่อยาจึงเพิ่มขนาดยาหรือเพิ่มจำนวนหยดของการใช้น้ำมันกัญชา ส่งผลให้เมื่อยาออกฤทธิ์ทำให้ระดับยาในเลือดผู้ป่วยสูงเกินไป จึงเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาได้
การใช้กัญชาครั้งแรกควรเริ่มใช้ในเวลาก่อนนอนและควรมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อระมัดระวังการเกิดผลข้างเคียง โดยต้องปรับลดขนาดยาเมื่อเกิดอาการเวียนศีรษะ
เสียสมดุล หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตผิดปกติ และจะต้องหยุดยาเมื่อเกิดอาการสับสน กระวนกระวาย ประสาทหลอน วิตกกังวล และโรคจิต ในระหว่างการใช้กัญชาผู้ป่วยไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานกับเครื่องจักรกล เนื่องจากบางรายมีอาการมึนศีรษะและง่วงซึมได้ นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังการใช้ยากัญชาร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น การใช้กัญชาร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดประสาท จะทำให้ฤทธิ์การกดประสาทของยาดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น
กัญชามีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้กัญชาหรือส่วนประกอบอื่นๆในผลิตภัณฑ์จากกัญชา ผู้ที่มีอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่มีอาการโรคจิต โรควิตกกังวล หรืออารมณ์แปรปรวน และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
ยา สมุนไพร หรือกัญชาล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งนั้น การใช้กัญชาภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์จะทำให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้กัญชาโดยที่เกิดโทษน้อยที่สุด แต่กัญชาที่ใช้จะต้องทราบปริมาณของสารสำคัญ (สารทีเอชซีและซีบีดี) ที่แน่นอนปราศจากการปนเปื้อนของโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง และเชื้อก่อโรค ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน อันจะส่งผลต่อประสิทธิผลในการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วยต่อไป
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี