คุ้งสำเภาในปัจจุบัน
ด้วยความสำคัญของเรื่องราวแต่ละชุมชนนั้นทำให้มีการเดินทางเที่ยวตามรอยภูมิบ้านภูมิเมืองกันมากขึ้น ดังนั้นโครงการ “ตามรอยสยาม” จึงเป็นกิจกรรมหนึ่งสำหรับถอดบทเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันตามแนวทางการรักษา สืบสานและต่อยอดความรู้ให้แพร่หลาย อาทิตย์นี้ได้เดินทางค้นหาตามเส้นทางแม่น้ำมะขามเฒ่า โดยเริ่มต้นที่วัดจวน ต.ท่าฉนวน จ.ชัยนาท ก่อนซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อท่าน้ำอ้อย เมืองบน บ้านโคกไม้เดนอันเป็นแหล่งโบราณคดีใน อ.พยุหะคีรี หากข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นเกาะเทโพ ที่ขวางแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลำแม่น้ำมะขามเฒ่าที่ไหลออกไปคุ้งสำเภา แล้วเลี้ยวเข้าปากคลองตรงวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ไปออกเมืองสุพรรณบุรี เป็นแม่น้ำท่าจีนนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันบางแห่งตื้นเขิน คงได้หาอ่านจากพระราชหัตถเลขาเสด็จประพาสลำแม่น้ำมะขามเฒ่าในรัชกาลที่ ๕
วัดจวนนี้คือวัดที่ใช้พื้นที่ของเจ้าเมืองมโนรมย์ที่มีมาแต่ครั้งอยุธยาสร้างเป็นวัดขึ้นในชั้นหลัง สำหรับร่องรอยที่จะบอกให้เห็นถึงความเก่าสมัยอยุธยานั้น ได้สูญสิ้นไปนานแล้ว เดิมนั้นมีโบราณสถานสมัยอยุธยาอยู่ริมแม่น้ำ เป็นกลุ่มเจดีย์สมัยอยุธยาเรียงรายอยู่ เรื่องเมืองมโนรมย์มีความในพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ว่า “ลุศักราช ๑๐๒๐ (พ.ศ.๒๒๐๑) ปีจอ สัมฤทธิ์ศก จึงพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จด้วยพระที่นั่งชลวิมานกาญจนบวรนาวาไปประพาส ณ เมืองนครสวรรค์ จึ่งพระยาจักรีกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ขุนสีขรจารินท์ ณ เมืองศรีสวัสดิ์ บอกมาว่า ออกไปฟังข่าว ณ ตำบลห้วยทราย แลนายอานซุยคล้องต้องนางช้างเผือกประมาณสามศอกมีเศษ หูหางสรรพด้วยรูปงาม คล้องได้ในวันอังคารเดือนอ้ายแรมสองค่ำ จึ่งมีพระราชโองการตรัสให้พระยาตะนาวศรี แลพฤติบาศแลขุนช้าง ทั้งหลายไปรับเศวตคเชนทร ก็เสด็จพระราชดำเนินไปแต่เมืองนครสวรรค์...” ประเด็นสำคัญของเรื่องคือนายอานซุย บุตรของขุนสีขรจารินท์ เป็นผู้คล้องช้างส่วนนางช้างนั้นขึ้นระวางสมโภชได้รับตั้งชื่อเป็นพระอินทไอยราวรรณวิสุทธิราชกริณีเมื่อวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ นายอานซุยได้ความชอบเป็นขุนคเชนทรไอยราวิสุทธิราชกิริณีและขุนสีขรจารินท์ เป็นหลวงเศวตคเชนทร์ โดยมี พระศรีสิทธิกรรม เป็นปลัดกรมโขลงในกรมช้าง ซึ่งเป็นผู้พบและนำควาญไปโพนช้างดังกล่าว อีกทั้งยังโปรดฯให้เป็นผู้ดูแล ฝึกช้างหลวงจนเป็นที่พอพระทัยมาก ครั้งนั้นพระองค์ตรัสถามว่า “อยากได้บำเหน็จอะไร” พระศรีสิทธิกรรม น่าจะกราบทูลว่า “อยากจะเป็นเจ้าเมือง"
ช้างทรงพระนารายณ์ที่ทรงโปรด
พระนารายณ์ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า “มันอยากเป็นเจ้าเมืองก็ให้มันเป็น” จึงแบ่งพื้นที่ตำบลท่าฉนวน เมืองชัยนาทให้เป็นเมืองตามที่ขอว่า “ขอพื้นที่เพียงสุดเสียงช้างร้อง” ทำให้เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ที่ภูมิสถานบ้านเดิมของพระศรีสิทธิกรรม ซึ่งปรากฏชื่อทำเนียบนามว่ามีหลวงสรรพสิทธิกิจ เป็นปลัดเมือง ขุนวิเศษภักดี เป็นยกกระบัตร และพระครูมโนรมย์มุนี เป็นเจ้าคณะเมือง ต่อมานั้นมีเจ้าเมืองสืบต่อหลายคนเช่น ขุนศรีสิทธิกรรม (ใย) พระศรีสิทธิกรรม (ทรัพย์) หลวงศรีสิทธิกรรม (เปล่ง) และขุนอนุสรณ์สิทธิกรรม เป็นต้น
เมืองมโนรมย์ครั้งแรกตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกบริเวณวัดจวน ตำบลท่าฉนวน ห่างจากที่ว่าการอำเภอปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ต่อมาตัวเมืองถูกกระแสแม่น้ำเจ้าพระยาเซาะตลิ่งพังจนเมืองเดิมลงแม่น้ำ จึงต้องย้ายตัวเมืองมโนรมย์ไปตั้งบริเวณบ้านหาดมะตูม ตำบลศิลาดาน ปัจจุบันเป็นอำเภอมโนรมย์ ซึ่งมีเขตการปกครองข้ามไปถึงแม่น้ำสะแกกรัง คือตำบลหาดทนง ตำบลเกาะเทโพ และตำบลท่าซุง ในอดีตถือเป็นชุมชนตลาดที่มีการขนส่งสินค้าและการสัญจรทางเรือไปมาโดยอาศัยลำแม่น้ำเจ้าพระยา-แม่น้ำสะแกกรังเป็นเส้นการค้าหลักที่รู้จักกันดีในชื่อ “คุ้งสำเภา” ซึ่งมีเมืองโบราณอยู่คืออู่ตะเภา หลังสุด พ.ศ.๒๔๕๒ จึงตั้งที่ว่าการอำเภอมโนรมย์ใหม่ ส่วนเมืองมโนรมย์สมัยพระนารายณ์นั้นคงเห็นแต่วัดจวนบนพื้นที่เจ้าเมืองเดิม ความเป็นเมืองสุดเสียงช้างร้องนั้นถูกน้ำเซาะพื้นที่ลงแม่น้ำไม่เห็นร่องรอยแล้วเช่นเดียวกับตำนานที่ต่างเล่าต่างบอกมากมายหลายความ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี