ผรณเดช พูนศิริวงศ์ กก.ผจก.บจ. หนังสือพิมพ์แนวหน้า, ปริญญา ช้างเสวก บก.การเมือง, ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธาน กก.บห. และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล, ผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธาน บจ. หนังสือพิมพ์แนวหน้า, อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กระทรวงการคลัง, สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน, กฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง, บุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์, ภานุวัฒน์ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท., อนันตเดช พงษ์พันธุ์ บก.โลกธุรกิจ, สันติสุข มะโรงศรี และเฉลิมชัย ยอดมาลัย บก.
แนวหน้าวาไรตี้สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย พาคุณไปรับฟังสาระดีๆ จากงานแนวหน้าฟอรั่ม ดินเนอร์ทอล์ก ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดไปเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งงานนี้ฝ่ายกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศยืนยันตรงกันว่าเมืองไทยต้องก้าวเดินต่อไป แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 เพราะปัจจัยเศรษฐกิจพื้นฐานในประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง
l นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และทีมเศรษฐกิจยังมั่นใจว่าประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และยังมีโอกาสเติบโตได้ เพราะรัฐบาลมีความต่อเนื่อง จึงสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่สะดุด รัฐบาลได้วางรากฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานของประเทศไว้มากมายดังเห็นชัดเจนแล้วคือ infrastructure ต่างๆ เช่นระบบคมนาคมขนส่งระบบราง ท่าเรือ ถนนหนทางต่างๆ และเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบ 5 G และ Cloud Services สิ่งเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่งได้ในอนาคตอันใกล้ สำหรับระบบการขนส่งทางรางนั้น เห็นได้ชัดเจนมากเช่ารถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่กำลังทยอยเสร็จและเปิดให้บริการ รวมถึงทางรถไฟรางคู่ในต่างจังหวัด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งของประเทศ และเรายังมีความพร้อมด้านนวัตกรรมอื่นๆ เช่นอุตสาหกรรมใหม่จำพวกยานยนต์ไฟฟ้า และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และพลังงานสะอาด โครงข่ายพลังงานไฟฟ้าซึ่งประเทศไทยมีฐานการผลิตเดิมที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้จะบังเกิดผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเราทุกคนร่วมมือร่วมใจร่วมกันทำ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลสำเร็จที่ให้ความคุ้มค่ามากกับส่วนรวม และที่สำคัญคือภาคเอกชนไทยที่มีความแข็งแกร่ง และมีศักยภาพสูงมาก สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาตินำเอาอุตสาหกรรมขั้นสูงเข้ามาผลิตในประเทศไทย ดังนั้น ผมจึงขอให้คนไทยทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้การดูแลเอาใจใส่นักลงทุนต่างชาติ เพื่อให้เขาเหล่านั้นมั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จเมื่อเข้ามาทำธุรกิจในประเทศของเรา นี่คือผลสำเร็จร่วมกันของทุกคนและเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย ผมมั่นใจว่าประเทศไทยของเราจะกลับมาแข็งแกร่ง และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไป
l นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในปี พ.ศ. 2564 นี้ รัฐบาลตัดสินใจแล้วว่าต้องเน้นปฏิบัติการเชิงรุกโดยเร็ว เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมให้ได้ สำหรับในส่วนของกระทรวงการคลังนั้น เน้นปฏิบัติการเชิงรุกในแง่เศรษฐกิจ โดยในภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศนั้นต้องเน้นพลังสามประสานคือด้านการคลัง การเงิน และตลาดทุน โดยไม่สามารถขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ประเทศจำเป็นต้องมีเงินในการบริหาร ถ้าขาดเงินเราก็จะมีปัญหาด้านงบประมาณแผ่นดิน ส่วนด้านตลาดทุนนั้นก็ต้องทำให้เกิดความแข็งแกร่งเช่นกัน หากตลาดทุนไม่ทำงาน ก็จะส่งปัญหาต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนักสำหรับรัฐบาลนั้นได้พยายามออกมาตรการเชิงรุกด้านต่างๆ เพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปและเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความสามารถในการดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ ดังจะเห็นว่ารัฐบาลได้ออกโครงการชิม ช้อป ใช้ มาก่อนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งล่าสุดโครงการดังกล่าวได้ปิดไปแล้ว และเราก็ได้รับทราบบทเรียนต่างๆ จากโครงการชิม ช้อป ใช้ได้เป็นอย่างดี และทราบว่าโครงการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ดี แต่ก็มีจุดอ่อนบางประการ ซึ่งเราก็แก้จุดอ่อนนั้นเมื่อเราทำโครงการอื่นๆ ต่อมา เช่นโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมของประชาชนในวงกว้างยิ่งขึ้น เพราะคนจำนวนมากสามารถใช้ได้จริง และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างน่าพอใจ ดังจะเห็นว่าโครงการคนละครึ่งสามารถใช้ได้กับร้านค้าเล็กๆน้อยๆ ที่ตั้งอยู่ตามชุมชนและตามริมถนนทั่วไป รวมถึงร้านแผงลอย หาบเร่ รถเข็น และร้านขายของชำดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าโครงการคนละครึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี เมื่อโครงการระยะแรกผ่านพ้นไป รัฐบาลก็เปิดโครงการต่อเนื่องระยะที่สองให้อีก 5 ล้านสิทธิ์โดยเพิ่มเงินให้เป็นรายละ 3,500 บาท สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการที่มาใหม่ ส่วนคนที่เข้าโครงการในครั้งแรกก็จะได้เงินเพิ่มอีก 500 บาท เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน รัฐบาลใช้งบประมาณเพื่อโครงการนี้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อหนึ่งช่วงเวลาของโครงการ โดยระยะที่สองก็ใช้งบประมาณอีก 3 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการเราเที่ยวด้วยกันก็ได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมากเช่นกัน และได้รับการอนุมัติให้ต่ออายุโครงการไปจนถึงเดือนเมษายน 2564 เพราะสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างเป็นรูปธรรมและอีกเรื่องหนึ่งคือบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยโดยในรอบที่สองรัฐบาลจะเติมเงินให้อีกรายละ500 บาท ซึ่งผู้ได้รับเงินช่วยเหลือตรงนี้ก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือจากโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ก็ทำให้เขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากพิษโควิด-19
l นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง
ในปี 2564 ประเทศเรามีงบประมาณ3.29 ล้านล้าน ต้องบอกว่ารัฐบาลยังมีเงินสำหรับใช้จ่ายอย่างเพียงพอ และสามารถดูแลวิกฤตการณ์จากโรคโควิด-19 ได้ส่วนงบประมาณรายจ่ายของปี 2565 จะเป็นตัวเลขเท่าไรนั้น รัฐบาลจะต้องหารือร่วมกันต่อไป ผมมั่นใจว่าเรามีเงินงบประมาณเพียงพอสำหรับดูแลประเทศได้ แม้ในช่วงที่ทำงบประมาณ 2564 นั้น ยังไม่มีวิกฤติโควิด-19 ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาโควิด-19 ก็ต้องปรับประมาณการเศรษฐกิจใหม่ โดยในกระทรวงการคลังต้องหารือกันภายในโดยตั้งเป้าประมาณการเรื่องการจัดเก็บรายได้ให้สอดคล้องกับวิกฤติโควิด-19 แล้วบริหารจัดการให้เป็นไปตามช่องทางที่เรามี ส่วนเรื่องการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เราก็ยังสามารถกู้เงินมาใช้ได้อีก เพราะฐานะการคลังของเรายังค่อนข้างแข็งแกร่ง เช่นเมื่อต้นปีงบประมาณที่แล้วเรามียอดเงินคงคลังยกมา 570,000 กว่าล้านบาท เรายังสามารถกู้เงินได้อีก แน่นอนว่าประมาณการยอดจัดเก็บรายได้ที่เราทำไว้ก่อนมีวิกฤติโควิด-19 จะต้องน้อยกว่าช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 อย่างแน่นอน แต่กระทรวงการคลังยังยืนว่าไม่มีปัญหาวิกฤติการคลังอย่างแน่นอน เพราะเรายังสามารถบริหารจัดการได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวล
l นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงพาณิชย์พยายามเพิ่มปริมาณการค้าตลอดเวลา แต่เมื่อประสบปัญหาโควิด-19ก็เกิดการชะงักไป ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จึงให้นโยบายว่า ต่อไปนี้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศต้องเป็นเซลส์แมนส่งเสริมให้มีการค้าขายมากขึ้น พาณิชย์จังหวัดต้องรู้ว่าในจังหวัดของตนมีของดีอะไรบ้าง ตลาดมีความต้องการสินค้าอะไร แล้วให้จังหวัดจับคู่กันทำการค้า ซึ่งที่ผ่านมาทำแบบนี้ไปแล้วสองสามครั้ง สร้างรายได้เป็นหลักพันล้านบาทต้องเน้นการค้าขายภายในประเทศให้มากขึ้นในขณะที่ยังไม่มีสามารถเปิดประเทศได้ เราก็ต้องส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแบบ virtualexhibition ซึ่งประสบความสำเร็จมาก เพราะทำให้คู่ค้าต่างชาติสามารถเห็นว่าเรามีสินค้าอะไรบ้างและสามารถเจรจาค้าขายผ่านระบบ multimedia ได้คล้ายกับทำ video conference ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณการเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ให้ผลดีมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องพัฒนารูปแบบการทำธุรกิจเช่นนี้ต่อไป และผมมั่นใจว่าในปีหน้าสถานการณ์โควิด-19จะคลี่คลาย แล้วเราจะกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม
l นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นการใช้สินค้าไทยรวมถึงเน้นมาตรการจัดซื้อจัดจ้างโดยเน้นการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ ที่ผลิตได้ภายในประเทศ ซึ่งประเด็นนี้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศได้รับผลดีตามไปด้วย ดังจะเห็นได้จากตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ช่วงเดือนตุลาคม 2563 พบว่าเพิ่มขึ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คือตัวเลขดัชนีเกือบจะเท่ากับระดับก่อนประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 เมื่อพิจารณาแล้ว ผมเห็นว่าถ้าตัวเลขดัชนีไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมคาดว่าในต้นปี 2564 อุตสาหกรรมไทยน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น และอีกเรื่องหนึ่งคือเราได้รับผลดีจากการบริโภคภายในประเทศที่มีอัตราเพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศเรา สำหรับภาคอุตสาหกรรมของเรานั้น จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกด้วย เราจะผลิตสินค้าเดิมๆด้วยกรรมวิธีเดิมๆ อีกไม่ได้แล้ว เมื่อมันล้าสมัยเราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ทันสมัย ทันโลก เราจะอยู่แบบเดิมไม่ได้ เพราะเราจะสู้คู่แข่งไม่ได้ เมื่อคู่แข่งของเราปรับตัว เราก็ต้องปรับตัว และต้องสามารถเอาชนะคลื่นลูกใหม่ให้ได้ด้วย ดังนั้นเราจึต้องเพิ่มศักยภาพการผลิตของเราให้ทันสมัยและผลิตสินค้าที่ตลาดโลกต้องการ และต้องตอบสนองความต้องการภายในประเทศได้ด้วย และที่สำคัญคือต้องหารือกันระหว่างกระทรวงให้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลผลิต เช่นต้องหารือกับกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ เป็นต้น ผมเห็นว่าความร่วมมือระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องสำคัญในอนาคตครับ เพราะนักลงทุนหน้าใหม่ไม่ลงทุนแบบเดิมๆ ในสินค้าเดิมๆ อีกต่อไป
l นายธเนศวร์ เพชรสุวรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผมอยากจะเรียนว่า การท่องเที่ยวในอนาคตนั้นเราจะไม่พบภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวบ้านเราเหมือนเดิม คือเหมือนกองทัพรถบัสเกือบร้อยคันที่จอดอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น พระบรมมหาราชวัง เพราะวิกฤติโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากการเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่มากๆ จะเปลี่ยนเป็นเดินทางด้วยกลุ่มเล็กๆ เพียงไม่กี่คน หรือไปกับคนในครอบครัว เดินทางด้วยรถส่วนตัว ส่วนคนไทยก็จะหันไปเที่ยวแบบกลุ่มเล็กๆ เช่นกัน ไปเที่ยวกับคนในครอบครัว และเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะเขามั่นใจว่าคนที่เขารู้จักดีน่าจะปลอดจากเชื้อโควิด-19มากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งไม่คุ้นเคยและไม่สนิทสนมซึ่งน่าจะมีความเสี่ยงของเชื้อโควิด-19 มากกว่าคนในครอบครัวที่เห็นหน้ากันทุกวัน ประเด็นต่อมาคือนักท่องเที่ยวจะเน้นเรื่องสุขภาพอนามัยมากขึ้นจะเน้นเที่ยวแบบปลอดภัยห่างไกลจากเชื้อโรคโดยเฉพาะโควิด-19 ดังนั้น ททท. จึงเน้นส่งเสริมเรื่องนี้โดยการออกสัญลักษณ์ SHA (Safety and HealthAdministration) ให้กับโรงแรม ร้านค้า ภัตตาคารสปา และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรคซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้ระดับหนึ่ง ผมเน้นเสมอมว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความเปราะบางมาก เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น นักท่องเที่ยวจะงดการเดินทางทันที ดังนั้นเมื่อเราทราบดีว่าเครื่องยนต์ด้านเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่เหลืออยู่ในขณะนี้คือการท่องเที่ยว เราจึงต้องประคับประคองไว้ให้ได้ ส่วนปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนหวังว่าเราจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้โดยเร็วถ้าคุมได้เร็วก็จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น และจะทำให้นักท่องเที่ยวในบ้านเรายังคงเดินทางท่องเที่ยวต่อไป
เฉลิมชัย ยอดมาลัย และ สันติสุข มะโรงศรี
คุณจะได้พบกับรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการแนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.30 น. ทางโทรทัศน์ TNN 2 ช่อง 784ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube แนวหน้าวาไรตี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี