ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ความตึงเครียดที่สะสมในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านชายแดน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือกฎหมายระหว่างประเทศ กลายเป็น ต้นเพลิง แบบไม้ขีดก้านเดียว ที่จุดไฟป่าให้ลุกลามหากไม่มีการระงับดับลงอย่างทันท่วงที ผลของการวิวาทระหว่างผู้นำประเทศ สร้างความเสียหายวายวอดต่อประชาชนตาดำๆ ที่ตกเป็นเหยื่อแบบ “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกกระจุย”
สัญญาณแรกของรอยร้าวเริ่มชัดเจนเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ด้วยเหตุปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารกัมพูชาขุดคูดินใกล้เขตแดน ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ต่อมาในเดือนมิถุนายน ความตึงเครียดยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายงานว่าโดรนจากฝั่งกัมพูชาบินล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยรวมถึงกรณีที่ชาวกัมพูชากลุ่มหนึ่งรวมตัวร้องเพลงบริเวณโบราณสถาน “ตาควาย–ตาเมือนธม” จนทหารต้องรีบเข้าแทรกแซง
นอกจากภัยเงียบตามแนวชายแดนแล้ว มาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจได้เดินหน้าอย่างเข้มข้น โดยกัมพูชารณรงค์ “ไม่ซื้อสินค้าไทย” ต่อเนื่องด้วยการระงับส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในประเทศไทย รวมถึงสั่งห้ามนำเข้าผลไม้และผักและการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย
ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยการเพิ่มความเข้มงวดต่อการนำเข้า “มันสำปะหลัง” จากกัมพูชา โดยเริ่มชะลอการอนุมัติใบอนุญาตและเพิ่มขั้นตอนตรวจสอบซึ่งกระทบต่อเกษตรกรกัมพูชาโดยตรง เนื่องจากมันสำปะหลังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักที่พึ่งพาตลาดไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนก็ไม่พ้นแรงกระเพื่อม เมื่อทางการกัมพูชาสั่งห้ามการฉายภาพยนตร์ไทยในสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พร้อมรณรงค์ให้แรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานในไทยเดินทางกลับประเทศ
ในเวทีระหว่างประเทศ กัมพูชาเตรียมนำกรณีข้อพิพาทเขตแดนช่องบก และสามปราสาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยเองก็ตอบโต้ด้วยมาตรการด้านความมั่นคง เช่น การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ คอลเซนเตอร์ และการพนันออนไลน์ ที่มีต้นตอจากฝั่งกัมพูชา การตัดไฟและอินเทอร์เน็ตในบางจุดชายแดน รวมถึงห้ามพลเมืองไทยข้ามแดนไปเล่นการพนันฝั่งกัมพูชา
ความแตกร้าวระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าใดเพียงเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลสะสมจากความไม่ไว้วางใจในหลายมิติ ทั้งทหาร เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคง ที่สะสมมานานโดยไม่มีพื้นที่คลี่คลายที่เพียงพอ
หากไม่มีการรับมือด้วยสติและการฟื้นสัมพันธ์ไมตรี ความขัดแย้งครั้งนี้อาจไม่ใช่แค่ลมที่พัดผ่านไป แต่จะกลายเป็นประวัติศาสตร์บทใหม่ของ “การพ่ายแพ้ร่วมกัน” ของทั้งสองประเทศ ที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ เหลือไว้เพียงเศษซาก และถ่านเถ้าของความเสียหายและความไม่เข้าใจที่จะลุกลามต่อไปอีกหลายร้อยปี
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี