ขุนนางการต่างประเทศ
วันที่ ๑๙ มกราคม ที่ผ่านมา เป็นวันพิราลัยของบุคคลหนึ่งเดียวที่เป็นมหาบุรุษรัตโนดมของแผ่นดิน คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ผู้มีบทบาทสำคัญในการปกครองของสยาม ท่านเป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิงจันทร์ ซึ่งเล่าเรียนวิชาอยู่ที่บ้านจากบุคคลในตระกูล ด้วยบิดามีตำแหน่งพระยาพระคลัง เสนาบดีว่าการต่างประเทศ ที่ปกครองหัวเมืองชายทะเลฝ่ายตะวันออก จึงได้เรียนรู้งานราชการที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศและการปกครองจากบิดา เมื่อเติบโตบิดาได้นำเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า มหาดเล็กช่วง ช่วยบิดาทำงานด้านการคลังและกรมท่า รวมทั้งติดต่อกับต่างประเทศ ในรัชกาลที่ ๓ มหาดเล็กช่วงได้เลื่อนเป็น นายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร เป็นหลวงสิทธิ์ นายเวรมหาดเล็ก เรียกกันว่า หลวงนายสิทธิ์ตามลำดับ หลวงนายสิทธิ์เป็นกลุ่มคนหนุ่มที่เรียกว่า “หัวใหม่” ด้วยสนใจศึกษาวิชาการของชาวตะวันตกเนื่องจากอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าสู่โลกตะวันออกและประชิดเขตแดนสยามมากขึ้น หากไม่ปรับตัวให้รู้เท่าทันฝรั่ง สยามอาจถูกยึดครองเป็นอาณานิคมได้ ในช่วงเดียวกันนี้ก็มีผู้เล็งเห็นการณ์ไกลของวิทยาการสมัยใหม่ คือ วชิรญาณภิกขุ (เจ้าฟ้ามงกุฎ) สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท และหลวงนายสิทธิ์ซึ่งสนใจศึกษาวิชาการต่อเรือกำปั่นเป็นพิเศษ และได้ศึกษาภาษาอังกฤษ
ผู้สำเร็จราชการ-ร.๕
ในรัชกาลที่ ๓ หลวงนายสิทธิ์ได้เลื่อนเป็นจมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก และปี พ.ศ.๒๓๘๔ได้เพิ่มสร้อยนามเป็น จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์จนปลายรัชกาลที่ ๓ พ.ศ.๒๓๙๓ ได้เลื่อนเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก หลังจากบิดาได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้ง พระยาศรีสุริยวงศ์จางวางมหาดเล็ก ขึ้นเป็น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าที่สมุหพระกลาโหม ด้วยเหตุที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์นั้นถือตราคชสีห์ในตำแหน่งสมุหพระกลาโหมอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสร้าง “ตราศรพระขรรค์” พระราชทานแก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ โดยเฉพาะ ครั้นเมื่อได้ตำแหน่งสมุหกลาโหมเต็มอำนาจแล้ว จึงได้รับการโปรดเกล้าฯให้ใช้ทั้งตราคชสีห์ และตราศรพระขรรค์ ในตำแหน่งสมุหพระกลาโหม จึงทำให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศมากขึ้น
พระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง)
หลังจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแก่พิราลัยและสวรรคต ตามลำดับลงเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงเป็นบุคคลที่มีอำนาจมาก จนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า “ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔เป็นเสมือนแม่ทัพแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็เป็นเสมือนเสนาธิการ ช่วยกันทำงานมาตลอดรัชกาลที่ ๔” ในรัชกาลที่ ๕ หลังจากเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วง พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๑๖ และลาออกจากตำแหน่งแล้ว ท่านได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ดำรงตำแหน่ง “สมเด็จเจ้าพระยา” เป็นคนสุดท้ายของแผ่นดิน ในสุพรรณบัตรนั้นจารึกร้อยนามว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์สมันตพงศ์พิสุทธิ มหาบุรุษรัตโนดม บรมราชุตมรรคมหาเสนาบดี..ฯลฯ อันมีฐานะเป็น “มหาบุรุษรัตโนดม”หนึ่งเดียวในสยามที่มีอำนาจในอิสริยศบรรดาศักดิ์ ๓๐,๐๐๐ ไร่ยิ่งกว่าจตุสดมภ์มนตรี ๓ เท่า ดำรงตรามหาสุริยมณฑลที่ให้อำนาจบังคับบัญชาสิทธิขาดราชการแผ่นดินในกรุงนอกกรุงทั่วพระราชอาณาจักร และสำเร็จสรรพอาญาสิทธิประหารชีวิตคนที่ถึงอุกฤษฏโทษมหันตโทษได้ จึงเป็นขุนนางที่ถูกหวาดระแวงในการมีอำนาจของท่านมากที่สุด แต่ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีที่มีมาแต่ต้นและผ่านการสนองงานที่สร้างคุณูปการให้กับบ้านเมืองอย่างมากมายและได้แก้ไขปัญหาความวุ่นวายในรัชกาลมาตลอด ท่านจึงรู้จักพอด้วยการใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยการออกไปอยู่เสียที่เมืองราชบุรี เพื่อลดความหวาดระแวงและอำนาจที่มากล้นนั้น เพื่อยืนยันการเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินผู้ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ทำให้นึกถึงเพลงที่พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) หรือครูมีแขก แต่งขึ้นใหม่ที่มีความไพเราะยิ่ง ซึ่งเป็นเพลงโปรดของท่าน ชื่อเพลง “พระอาทิตย์ชิงดวง” ที่บอกความในใจของท่านไว้กับประวัติศาสตร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี