เป็นข่าวใหญ่สะเทือนสหรัฐฯและทั่วโลก กับแผนความพยายามสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และว่าที่ผู้แทนพรรครีพับลิกัน ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยหน้า ถือเป็นความรุนแรงทางการเมือง (Political Violence) ที่เกิดขึ้นอีกครั้งในสหรัฐฯ เพราะในอดีตที่ผ่านมา เคยมีเหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำสหรัฐฯ ที่โด่งดังในอดีต ทำให้อดีตประธานาธิบดีหลายคนเสียชีวิต และอีกหลายคนรอดชีวิตมาได้
เหตุการณ์ที่โลกไม่ลืมคือการลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดีระหว่างขบวนรถของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคลื่อนผ่านใจกลางเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส เมื่อปี 1963 โดยเคนเนดีเป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกลอบสังหารจนถึงแก่อสัญกรรมระหว่างอยู่ในตำแหน่ง ส่วนอีก 3 คนคือ อับราฮัม ลินคอล์น ในปี 1865 เจมส์ การ์ฟีลด์ในปี 1881 และ วิลเลียม แม็คคินเลย์ในปี 1901
ขณะที่ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ซึ่งถูกยิงที่หน้าอกระหว่างหาเสียงในปี 1912 แต่รอดมาได้ ส่วน เจรัลด์ฟอร์ด ตกเป็นเป้าลอบสังหารถึง 2 ครั้ง ห่างกันเพียง 17 วันในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1975 แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่โรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในปี 1981หน้าโรงแรมหรูใจกลางกรุงวอชิงตันดี.ซี. ท่ามกลางความแตกตื่นของสื่อและผู้ติดตาม กับเจ้าหน้าที่อารักขาที่ระงับเหตุอย่างรวดเร็ว ทำให้เรแกนรอดชีวิตมาได้แม้กระสุนเข้าจุดสำคัญขณะที่แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุ แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองโดยตรง แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้คะแนนนิยมในตัวเรแกนพุ่งสูงขึ้น หลังจากที่เขากล่าวถึงเหตุการณ์นั้นด้วยอารมณ์ขัน และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนเหตุรุนแรงเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ทำให้ทรัมป์เป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุดที่เผชิญเหตุลอบสังหารและรอดชีวิตมาได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บ
หากย้อนดูเหตุร้ายในช่วงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 9 คนล่าสุดคือคนที่ 38-46 มีถึง 7 คนที่ตกเป็นเป้าการประทุษร้าย หรือถูกพยายามลอบสังหารหมายปองชีวิต
รายงานฉบับล่าสุดของหน่วยงานวิจัยในสังกัดสภาสหรัฐฯที่อ้างข้อมูลหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา, ทรัมป์ และ โจ ไบเดนประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ต่างก็เคยตกเป็นเป้าความรุนแรงทั้งหมด แม้จะไม่ได้เป็นข่าวให้เห็นในหน้าสื่อก็ตาม หากมองกว้างๆ ในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ 45 คน มีถึง 13 คน หรือราวร้อยละ 29 ที่เคยเผชิญเหตุลอบสังหารทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว
จากเหตุรุนแรงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอเมริกัน มีผลสำรวจชิ้นหนึ่ง จัดทำโดยนักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก สำรวจความเห็นชาวอเมริกันต่อความรุนแรงทางการเมือง เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 พบว่า ชาวอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ 10 มองว่าการใช้ความรุนแรงเพื่อขัดขวางทรัมป์ ไม่ให้ได้เป็นประธานาธิบดี เป็นเรื่องสมควร ในจำนวนนี้มากถึง 1 ใน 3 คนมีอาวุธปืนในครอบครอง ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามอีกร้อยละ 7 มองว่า การใช้ความรุนแรงเพื่อสนับสนุนทรัมป์ ให้ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำอีกสมัยเป็นเรื่องเหมาะสม โดยในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งมีอาวุธปืนในครอบครอง
นั่นส่งผลให้หลายฝ่ายมองว่า เหตุการณ์นี้ อาจเรียกคะแนนสงสารเพิ่มขึ้นในตัวทรัมป์ได้มากขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะเป็นคะแนนที่มากน้อยแค่ไหน ยิ่งการแสดงออกด้วยท่าทางที่ชูกำปั้นพร้อมบอกสู้ ก็ยิ่งเรียกคะแนนสงสารได้
ยิ่งภาพของ ทรัมป์ ชูกำปั้นและตะโกนว่า Fight หรือสู้ต่อไป ถ่ายโดย อีวาน วุชชี ช่างภาพเอพี ก็นับเป็นทั้งจุดเปลี่ยน และเป็นภาพประวัติศาสตร์แล้ว สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านสื่อทุกแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคมเปญและพลพรรครีพับลิกันของทรัมป์
แต่หากจะวิเคราะห์ลึกไปกว่าการแข่งขันทางการเมืองผ่านคูหาเลือกตั้งในพฤศจิกายนนี้ หลายฝ่ายก็มองตรงกันว่า สังคมอเมริกันตกอยู่ในสภาวะแบ่งขั้วทางอุดมการณ์ความคิดทั้งรุนแรงและสุดโต่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในห้วงสมัยทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะนโยบายที่แข็งกร้าวตั้งแต่สมัยที่แล้ว การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งในสมัยนี้ จนนำไปสู่เหตุจลาจลบุกรัฐสภาเมื่อต้นปี 2021 หรือแม้แต่พิมพ์เขียว Project 2025 ที่อาจกรุยทางให้ประธานาธิบดีรีพับลิกันดำเนินนโยบายสุดโต่งขึ้นต่อไป
เหตุลอบสังหารว่าที่ผู้ท้าชิงเก้าอี้ทำเนียบขาวจากรีพับลิกันในครั้งนี้ จึงอาจถูกมองว่าเกิดขึ้นด้วยแรงจูงใจทางการเมืองส่วนหนึ่งก็เป็นได้ พลิกวาทกรรมเดโมแครตที่ว่าทรัมป์ว่าเป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย สู่เหยื่อทางการเมืองของไบเดน ยังไม่นับกับที่ชาวอเมริกันถกเถียงเรื่องสิทธิการถือครองอาวุธปืนตามรัฐธรรมนูญ และความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างกลุ่มเชิดชูคนขาวและผู้สนับสนุนเดโมแครต
ทำให้ตอนนี้ ทุกฝ่ายแม้แต่ตัวทรัมป์เอง ต้องเลือกลดใช้ถ้อยคำแข็งกร้าว แล้วกลับมาปลุกเร้าความสามัคคีของชาวอเมริกัน เพราะต่างฝ่ายต่างทราบว่านอกเหนือไปจากอุณหภูมิการแข่งขันทางการเมืองที่ร้อนระอุสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ที่รอปะทุในสังคมการเมืองอเมริกันก็เป็นได้
โดย ดาโน โทนาลี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี