ช่วง พ.ศ. 2528 ถึง 2530 เกิดการสู้รบระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพเวียดนามที่เข้ามาเคลื่อนไหวในดินแดนกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้านเวียดนามที่เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนั้น และพยายามขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ของไทย
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
“ช่องบก” คือพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาในเขตอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมมรกต” ซึ่งเป็นจุดรอยต่อระหว่างสามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร ใกล้เขาพระวิหาร โดยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าทึบและเทือกเขาพนมดงรักที่สูงชัน
ความขัดแย้งในพื้นที่นี้มีรากลึกย้อนกลับไปถึงยุคอาณานิคมฝรั่งเศส เมื่อการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ชัดเจน แผนที่ที่ใช้ในสนธิสัญญาหลายฉบับมีความแตกต่างไม่ตรงกัน ส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์
โดยในช่วงพ.ศ. 2501 ถึง 2505เคยเกิดเหตุปะทะกันด้วยปืนใหญ่และเครื่องบิน ระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชามาแล้วที่ช่องบก ซึ่งเป็นทางผ่านสำคัญไปสู่เขาพระวิหาร ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 30 นาย ขณะที่ทหารกัมพูชาก็สูญเสียใกล้เคียงกัน การรบยุติลงตามคำสั่งของศาลโลก แล้วมาเจรจาแก้ปัญหากันด้วยสันติวิธี
จุดปะทุของสมรภูมิ
ในช่วงปี พ.ศ. 2528–2530 ช่องบกกลายเป็นสมรภูมิเดือดอีกครั้ง เมื่อกองทัพเวียดนามซึ่งเข้ายึดครองกัมพูชาหลังโค่นล้มเขมรแดงในปี 2522 ได้รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทยบริเวณช่องบก โดยอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ที่ยังไม่มีการแบ่งเขตแดนชัดเจน และมีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าเขาที่ยากต่อการควบคุม ฝ่ายเวียดนามต้องการใช้พื้นที่นี้เป็นเส้นทางลำเลียงและเป็นฐานที่มั่นในการโจมตีกลุ่มต่อต้านในกัมพูชา
กองกำลังสุรนารีของไทย ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนภาคอีสาน ได้รับคำสั่งให้เข้าปฏิบัติการทันที ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบาก เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและแนวป่าทึบ ทหารเวียดนามสร้างบังเกอร์คอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมอาวุธหนักที่ได้รับการสนับสนุนจากฐานในลาวและกัมพูชา
ยุทธวิธีแห่งความอดทน
ฝ่ายไทยใช้ยุทธวิธีที่เรียกว่า “ขุดบ่อเพาะ” โดยขุดหลุมเข้าใกล้ฐานเวียดนามทีละน้อย ไม่เปิดฉากยิงทันที แต่เน้นการส่งเสบียงและกำลังบำรุงอย่างต่อเนื่อง วิธีนี้ทำให้ฝ่ายเวียดนามค่อย ๆ อ่อนล้าและเสียขวัญ
การสู้รบยืดเยื้อถึง 2 ปี และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 การรบที่สมรภูมิช่องบกยุติลงเมื่อกองทัพเวียดนามถอนกำลังออกจากกัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศและแรงกดดันจากนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเขตแดนบริเวณช่องบกยังคงเป็นประเด็นที่ต้องมีการหารือและปักปันเขตแดนกันอย่างเป็นทางการต่อไป
ราคาของสงคราม
การสู้รบครั้งนี้ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทหารไทยเสียชีวิต 109 นาย และบาดเจ็บ 664 นาย มีการใช้กระสุนปืนใหญ่ถึง 21,791 นัด สมรภูมิช่องบกจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของวีรกรรมทหารไทยที่ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน
ฐานอนุพงษ์: อนุสรณ์แห่งความเสียสละ
“ฐานอนุพงษ์” ตั้งอยู่บริเวณห้วยพลาญเสือ ใกล้ช่องบก เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึง ร้อยโทอนุพงษ์ บุญญะประทีป ผู้เสียชีวิตในระหว่างการปะทะกับกองกำลังเวียดนามเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530
ในวันนั้น หมวดปืนเล็กที่ 1 กองร้อยทหารราบที่ 1631 ภายใต้การนำของ ร.ท.อนุพงษ์ ได้เข้าช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาที่บาดเจ็บและเสียชีวิต จนถูกระดมยิงและเสียชีวิตในพื้นที่ปะทะ ดังนั้นฐานแห่งนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความเสียสละของทหารไทยที่ยอมพลีชีพเพื่อชาติ
การฟื้นฟู
หลังสงคราม ช่องบกได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพื้นที่จากสมรภูมิเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจ โดยมีการพัฒนาอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยให้เป็นจุดชมวิวสามเหลี่ยมมรกต
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพระราชดำริที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านผ่านการส่งเสริมอาชีพ และความร่วมมือระหว่างไทย ลาว และกัมพูชาเพื่อส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดน
แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ ช่องบกยังคงเป็นจุดเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่พิพาท หลังฝ่ายกัมพูชาขุดคูยาว 650 เมตรเพื่อตั้งจุดตรึงกำลัง ซึ่งไทยมองว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง เอ็มโอยู 43 (MOU43)
เหตุการณ์ยุติลงภายใน 10 นาทีหลังการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้บัญชาการทั้งสองฝ่าย แม้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าช่องบกยังคงเป็นพื้นที่ที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี