ประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความผันผวน โดยเฉพาะตั้งแต่การเป็นเมืองขึ้นของสยามจนถึงการปกเขมรแดงครองในยุคปัจจุบัน
ยุคเมืองขึ้นของสยามและเวียดนาม (พุทธศตวรรษที่ 22-25)
หลังจากอาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่ 18 กัมพูชาก็ตกอยู่ภายใต้การแย่งชิงอิทธิพลระหว่างอาณาจักรที่กำลังรุ่งเรืองในภูมิภาคคือ สยาม (ทั้งในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์) และ เวียดนาม โดยกัมพูชาต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้ทั้งสองอาณาจักรเพื่อรักษาเอกราชที่เปราะบางของตน ในช่วงนี้ กัมพูชาสูญเสียดินแดนหลายส่วนให้แก่ทั้งสยาม (เช่น เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ) และเวียดนาม (เช่น ดินแดนโคชินไชนาหรือเวียดนามใต้) สถานการณ์ที่อ่อนแอเช่นนี้ทำให้กษัตริย์นโรดมตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส
การตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส (พ.ศ. 2406-2496)
ในปี พ.ศ. 2406 กษัตริย์นโรดมได้ลงนามในสนธิสัญญาขอรับความคุ้มครองจาก ฝรั่งเศส ทำให้กัมพูชากลายเป็นส่วนหนึ่งของ อินโดจีนของฝรั่งเศส โดยสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2436 ในช่วงนี้ ฝรั่งเศสได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง แต่การปกครองที่กดขี่ก็สร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวกัมพูชาและจุดประกายกระแสชาตินิยม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองอินโดจีน แต่หลังสงครามสิ้นสุด ฝรั่งเศสก็กลับมาปกครองอีกครั้ง จนกระทั่ง สมเด็จพระนโรดม สีหนุ สามารถเจรจาขอเอกราชได้อย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496
สงครามกลางเมืองและการปฏิวัติของลอน นอล (พ.ศ. 2513-2518)
หลังจากได้รับเอกราช พระนโรดม สีหนุ พยายามนำพาประเทศให้เป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งของสงครามเย็น แต่การแทรกแซงจากสหรัฐฯ และเวียดนามก็ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ในปี พ.ศ. 2513 นายพล ลอน นอล ได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากพระนโรดม สีหนุ โดยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา และสถาปนาสาธารณรัฐเขมรขึ้น การปฏิวัติครั้งนี้ทำให้ประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ โดยมีฝ่ายต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง สหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลลอน นอล จีน ที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) และ เวียดนาม ที่มีกองทัพอยู่ในดินแดนกัมพูชา การรบที่ยืดเยื้อนำไปสู่การสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลลอน นอล สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากกัมพูชา
ยุคเขมรแดง (พ.ศ. 2518-2522)
เขมรแดง ที่ต่อต้านสหรัฐและลอนนอล นำโดย พอล พต เอียงสารี เขียวสัมพัน เข้ายึดอำนาจในกรุงพนมเปญได้สำเร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2518 และสถาปนา "กัมพูชาประชาธิปไตย" ขึ้น โดยปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตนเอง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากภายนอกประเทศ และไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับชาติใดๆ โดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิพลของต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร ระบบเงินตรา ยึดทรัพย์สินจากเอกชนทั้งหมด พ.ศ.2522 เจ้านโรดมสีหนุทรงลี้ภัยไปอยู่ในประเทศจีน
พอล พต เป็นคนที่คลั่งลัทธิซ้ายสุดๆ เขาเชื่อว่าระบบสังคมนิยมจะนำกัมพูชาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ดังนั้นเขาจึงมีแนว คิดว่า ประเทศควรจะอยู่อย่างสันโดษ ไม่ต้องเพิ่งวิทยาการเทคโนโลยีใดๆ ขอให้มีข้าวกินก็อยู่ได้ เขาจึงกวาดล้างผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ทางความคิด นักศึกษาปัญญาชน แพทย์ วิศวกร นักปราชญ์ ศิลปิน ว่ากันว่าคนใส่แว่นสายตาที่ดูเหมือนมีความรู้ เป็นภัยต่อความมั่นคง ปกครองยาก จะถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล
พอล พต ต้องการให้กัมพูชามีแต่ชนชั้นกรรมาชีพ จึงได้หลอกล่อประชาชนพลเมืองออกจากเมืองไปยังชนบทกันดาร ใช้แรงงานเพื่อการเกษตรอยู่ในค่ายแรงงาน ซึ่งประชาชนทุกคนมีสภาพชีวิตที่ลำบาก ต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก รวมทั้งไม่มีอาหารที่เพียงพอ ซึ่งในเวลากว่า 4 ปีที่ พอล พต อยู่ในอำนาจ มีผู้คนล้มตาย อดอยาก ถูกทารุณกรรม ถูกฆ่าอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ เขมรแดงต้องการให้กัมพูชาเป็นประเทศที่มีแต่คนเชื้อสายเดียว คือเชื้อสายกัมพูชาเท่านั้น จึงเกิด "ทุ่งสังหาร" เพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งชาวเวียดนาม ชาวจีน รวมถึงคนเขมรด้วยกันเอง ซึ่งมีการประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5-2 ล้านคน นับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดของศตวรรษที่ 20
การรุกรานของเวียดนาม (พ.ศ. 2522-2534)
ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างเขมรแดงกับเวียดนามทำให้กองทัพเวียดนามยกทัพเข้ามายึดกรุงพนมเปญในเดือนมกราคม พ.ศ.2522 และโค่นล้มระบอบเขมรแดงลง เวียดนาม พวกเขมรแดงแตกพ่ายมาหลบอยู่ตามตะเข็บชายแดนกัมพูชา-ไทย มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มี เฮง สัมริน และ ฮุน เซน เป็นผู้นำและเวียดนามสนับสนุนขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเฮงสัมรินและฮุนเซน เผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มต่างๆ ที่เรียกรวมๆว่า “เขมรสามฝ่าย” ซึ่งประกอบด้วย 1.เขมรแดง (Khmer Rouge) คือกองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา นำโดย พลพต เอียงสารี เขียวสัมพัน เป็นพันธมิตรกับพวกเวียดกงในเวียดนาม ได้รับการสนับสนุนจากจีน มีที่มั่นแถบเทือกเขาบรรทัด ถึงพนมมาลัยชายแดนไทยกัมพูชา เข้ายึดกรุงพนมเปญได้ เมื่อ 17 เมษายน 2518
2.กลุ่ม เขมรเสรี (แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร หรือ KPNLF) ที่นำโดย ซอน ซาน อดีตนายกรัฐมนตรี และนายพล เดียนเดล มีนโยบายต่อสู้เวียดนาม ต่อต้านคอมมิวนิสต์และนิยมสาธารณรัฐ รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านโซเวียด
3.กลุ่มที่สนับสนุนนิยมเจ้านโรดม สีหนุ และพรรคฟุนซินเปค (Funcinpec) นำโดย เจ้านโรดม รณฤทธิ์ โอรสของเจ้าสีหนุ สนับสนุนโดยจีน และสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านโซเวียต และ 4.กลุ่มมูลินากา (Moulinaka Mouvement de Liberation National du Kampuchea) นำโดยอดีตทหาร 2 คนคือกัปตันกอง ซิเลียะห์และทหารพลร่ม พันเอกเนม โสภณ มีฐานที่มั่นที่บ้านหนองจาน ชายแดนไทย กัมพูชา ช่วงพ.ศ. 2522-2523
ในช่วงนี้มีกลุ่มติดอาวุธเล็กๆ อีกมากมายที่ปรากฏตัวขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น “เขมรปลาร้า” หรือกลุ่มโจรสลัดที่ปล้นสะดมผู้ลี้ภัย
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) เวียดนามยอมถอนทหารออกจากกัมพูชา หลังนั้นพระนโรดม รณฤทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีร่วมกับฮุน เซนระหว่าง พ.ศ.2536 เจ้านโรดม สีหนุทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กัมพูชาอีกครั้งใน พ.ศ.2540 เกิดการรัฐประหารที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างพระนโรดม รณฤทธิ์กับฮุน เซน ส่งผลให้พระนโรดม รณฤทธิ์ต้องลี้ภัยไปฝรั่งเศส พ.ศ.2541 ฮุนเซนเป็นนายกรัฐมนตรี คนเดียว เจ้านโรดมสีหนุสละราชบัลลังก์ ให้สมเด็จนโรดม สีหมุนี สม รังสีเป็นฝ่ายค้านที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
ผู้อพยพและค่ายลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย
สงครามกลางเมืองและการสังหารหมู่ทำให้มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาลอพยพหนีตายมายังชายแดน ประเทศไทย หลายระลอก เช่น ก่อนพ.ศ.2522 เป็นพวกหนีภัยจากเขมรแดง และหลัง 2522 เป็นพวกเขมรแดงที่พ่ายแก้แก่กองทัพเวียดนาม โดยมีการจัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยขึ้นหลายแห่ง เช่น บ้านหนองจาน หนองเสม็ด Site 2 Site 3 และ เขาล้าน ค่ายเหล่านี้เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวและเป็นศูนย์กลางความช่วยเหลือจากองค์กรนานาชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาความไม่สงบและการปล้นสะดมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดก็มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งและเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูประเทศ ฮุน เซน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคเฮง สัมริน และยังคงเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดของกัมพูชามาจนถึงทุกวันนี้
โดย สุริยพงศ์
ภาพจาก wikimedia
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี