บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนจีนอพยพทิ้งแผ่นดิน : จากสมัยโบราณถึงปัจจุบัน

บทความพิเศษ : ‘รู้จักเรารู้จักจีน’ คนจีนอพยพทิ้งแผ่นดิน : จากสมัยโบราณถึงปัจจุบัน

วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 17.47 น.

การอพยพของชาวจีนออกจากแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนนั้น   เป็นการเคลื่อนย้ายประชากรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ   การอพยพดังกล่าวเป็นกระบวนการที่ยาวนาน กว่าพันปีที่ผ่านมา  ก่อนการตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี จนถึงปัจจุบัน ชาวจีนโพ้นทะเลหลายสิบล้านคนได้หนีจากความอดอยาก สงคราม ความยากจน  ทิ้งบ้านเกิด เพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ในดินแดนอันห่างไกลทั่วโลก

สาเหตุของการอพยพ


สาเหตุที่นำไปสู่การอพยพ   ของชาวจีนมีหลายประการ เช่น ประชากรจีนที่เพิ่มรวดเร็วในขณะที่ที่ดินทำกินมีจำกัด ภัยธรรมชาติที่เกิดซ้ำซาก โดยเฉพาะอุทกภัยจากแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง ทำให้ขาดแคลนอาหาร

การเก็บภาษีที่หนักจากราชสำนักและขุนนางท้องถิ่น  ได้กดขี่ชาวนาจนลำบากในการดำรงชีพ ระบบศักดินาและการผูกขาดที่ดินโดยชนชั้นสูงทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ไร้ที่ดินทำกิน  เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากสงครามฝิ่นและการเปิดประเทศแบบถูกบังคับจากมหาอำนาจ   การจลาจลไท่ผิงต่อต้านราชวงศ์ชิง ในช่วงปี พ.ศ 2393-2407 (สมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) สร้างความหายนะและทำให้ผู้คนนับสิบล้านเสียชีวิต คนจีนจำนวนมากต้องอพยพหนีภัย  โดยเฉพาะพวกจีนแคะ(ฮากกา)ซึ่งเป็นกลุ่มหลักในการก่อกบฏไท่ผิงที่ถูกปราบปรามเมื่อพ่ายแพ้

ระลอกของการอพยพผ่านประวัติศาสตร์

สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450)  ยุคอาณาจักรทวารวดีและขอมก่อนการตั้งกรุงสุโขทัย    มีพ่อค้าชาวจีน  และผู้หลบหนีคดีในเมืองจีน ใช้เรือใบเดินทางมาสุวรรณภูมิ เช่น จามปา  กัมพูชา ชวา สุมาตรา   บอร์เนียว  มะละกา  สยาม  ริวกิว  แอฟริกา    บางคนแต่งงานกับหญิงพื้นเมืองแล้วไม่กลับเมืองจีน   

สมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. 1822-1911)และราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2187) ยุคอยุธยาตอนต้น    การอพยพของคนจีนสมัยอยุธยาตอนต้น ราวพ.ศ. 1893 สมัยราชวงศ์หยวน  เมื่อชาวจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และไหหลำ    เดินทางมาค้าขายทางทะเล และตั้งรกรากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและช่างฝีมือที่มาแสวงหาโอกาสทางการค้า

ในช่วงราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911-2187) มีการส่งกองเรือใหญ่ของนายพลเจิ้งเหอ(鄭和) มาสำรวจดินแดนเอเชียและแอฟริกา  โดยมีเรือส่วนหนึ่งเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา  มีพ่อค้าชาวจีนส่วนหนึ่งมาทำธุรกิจที่อยุธยา   เมื่อราชวงศ์หมิงล่มสลายและราชวงศ์ชิงขึ้นครองอำนาจ (พ.ศ.2187 สมัยพระเจ้าปราสาททอง)  เกิดความวุ่นวายความอดอยาก ภัยธรรมชาติ และสงครามกลางเมือง ชาวจีนหัวรุนแรงที่ภักดีต่อราชวงศ์หมิง และไม่ยอมรับการปกครองของชาวแมนจู  พวกข้าราชการ พ่อค้า ช่างฝีมือ จำนวนมากหนีออกนอกประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนในมณฑลฝูเจี้ยนและ กวางตุ้งที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานใน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม จามปา  กัมพูชา สยาม พม่า  มลายู และฟิลิปปินส์

สมัยราชวงศ์ชิง (พ.ศ. 2383-2443 )ยุครัชกาลที่ 3 ถึง 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์      ได้เกิดการอพยพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เริ่มต้นหลังสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2382-2385) และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงการจลาจลกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว Taiping Rebellion (พ.ศ. 2407) ที่ทำให้ราชวงศ์ชิงล่มสลาย    ความหายนะจากสงครามกลางเมืองครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20-30 ล้านคน  คนจีนนับล้านต้องอพยพหนีภัยสงคราม ภัยแล้ง อุทกภัยและความอดอยาก  

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้  การเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา  ไทย และหลายประเทศ  ทำให้มีความต้องการแรงงานด้านเกษตรกรรม และเหมืองแร่  การค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนีย (พ.ศ.  2391ค.ศ. 1848) ออสเตรเลีย (พ.ศ.2394 ค.ศ. 1851) และแร่ดีบุกทางภาคใต้ของประเทศไทย  ดึงดูดชาวจีนจำนวนมากไปทำงานเป็นกรรมกร หรือ กุลี (Coolies)  การสร้างทางรถไฟข้ามทวีปในทวีปอเมริกา(แคลิฟอรเนีย  ฮาวาย คิวบา  เปรู) แคนาดา  และสยาม   ต้องการแรงงานจำนวนมหาศาล        ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณานิคมของยุโรป (มาลายา สิงคโปร์ บอร์เนียว สุมาตรา) ต้องการแรงงานในไร่อ้อย สวนยางพารา  สวนกาแฟ  และเหมืองแร่ดีบุก   คนจีนจำนวนมากมาทำงานขุดคลอง ค้าขาย  ปลูกผัก และก่อสร้าง

ปลายราชวงศ์ชิง ต่อสาธารณรัฐจีน  (พ.ศ.2443-2492)

ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 จีนประสบกับความวุ่นวายต่อเนื่อง เช่นการปฏิวัติซินไฮ่  พ.ศ. 2454    การล่มสลายของราชวงศ์ชิงใน พ.ศ. 2492 นำมาสู่ยุคของขุนศึกแย่งชิงอำนาจ (Warlord Era)  สงครามกลางเมือง  พ.ศ. 2481-2492 การรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงพ.ศ. 2473-2483 และสงครามโลกครั้งที่สอง       ความยากจนและความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของคนจีนอีกครั้ง  ไปยังประเทศที่มีคนจีนอพยพไปก่อน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอรแลนด์  อารเจนติน่า  มลายู  ไทย  สิงคโปร์   สหรัฐอเมริกา  แคนาดา

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋งทำให้ชาวจีนจำนวนมากอพยพหนีภัยสงคราม เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ชนะและจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีพ.ศ. 2492 ชาวจีนที่สนับสนุนก๊กมินตั๋งและผู้มีฐานะที่ไม่ชอบการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ราว 2 ล้านคน        ได้หนีออกจากแผ่นดินใหญ่ไปยังไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์  ไทย  ซาราวัค  บอร์เนียว มาลายา

ทหารจีนคณะชาติที่พ่ายแพ้พวกคอมมิวนิสต์บางส่วน เช่นกองพล 93  หนีเข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยแถบเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน

ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมและหลังการเปิดประเทศ (พ.ศ. 2493-2533)

ยุคของเหมาเจ๋อตุงนำมาซึ่งนโยบายบังคับรุนแรง โดยเฉพาะนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ไปข้างหน้า (พ.ศ. 2501-2505) นำไปสู่ความอดอยากครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 15-45 ล้านคน ที่เป็นความอดอยากเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ชาวจีนที่รอดชีวิตจำนวนหนึ่งพยายามหนีออกนอกประเทศแม้จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด

การปฏิวัติวัฒนธรรม  Cultural Revolution  พ.ศ. 2509-2519 สร้างความโกลาหลและทำลายชีวิตผู้คนนับล้าน นักปัญญาชน นักธุรกิจ  ชนชั้นกลาง และผู้มีความคิดต่างจากรัฐบาลถูกกดขี่และทำลาย หลายคนพยายามหลบหนีไปยังฮ่องกง มาเก๊า  ไทย สหรัฐอเมริกา  แคนาดา  ออสเตรเลีย และยุโรป 

ยุคสมัยใหม่ (พ.ศ.2521 -ปัจจุบัน)

แม้จีนจะเปิดประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 แต่การอพยพยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบใหม่ ชาวจีนในยุคนี้อพยพเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษา อาชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่หนีจากความอดอยากอย่างในอดีต การอพยพในปัจจุบันประกอบด้วยนักศึกษา  นักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ และนักลงทุนที่มีทักษะสูง เพื่อโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศ ไปยังยุโรป (เยอรมนี  อังกฤษ)  เอเชีย (ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์)   แอฟริกาใต้ (แองโกล่า เคนยา ไนจีเรีย) อเมริกาใต้  (บราซิล อารเจนติน่า)ตะวันออกกลาง (ดูไบ  ซาอุดิอารเบีย)   อย่างไรก็ตาม ยังมีการอพยพผิดกฎหมายจากชนบทที่ยากจนและจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ เช่น ชาวอุยกูร์ในซินเจียง การควบคุมของรัฐบาลที่เข้มงวดในบางพื้นที่ยังคงเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนแสวงหาอิสรภาพในต่างแดน

ช่วงการที่อังกฤษส่งคืนฮ่องกงให้จีน  (พ.ศ. 2527-2540) ทำให้ชาวฮ่องกงจำวนมากอพยพออกไปต่างประเทศ อีกครั้งหนึ่ง ส่วนใหญ่ไปสิงคโปร์ ไต้หวัน  สหราชอาณาจักร  สหรัฐอเมริกา  แคนาดา ออสเตรเลีย

ยุคหลังโควิด (พ.ศ. 2562)มีคนจีนอพยพออกไปต่างประเทศอีก   เพราะเกรงกลัวนโยบายกักตัวปิดเมืองช่วงโควิดระบาดที่เข้มงวด (Zero Covid) เศรษฐกิจจีนชะลอตัว  และค่าครองชีพในเมืองใหญ่ที่เพิ่มสูง   มายังประเทศไทย  สหรัฐ  ยุโรป ญี่ปุ่น  สิงคโปร์ นักศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้จำนวนมาก ไปหาที่เรียนในต่างประเทศ    

ท่าเรือและเส้นทางการอพยพ

การอพยพของชาวจีนส่วนใหญ่สมัยก่อนที่ใช้เรือสำเภาและเรือกลไฟไอน้ำ  เริ่มต้นจากท่าเรือสำคัญในมณฑลชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของจีน ท่าเรือกวางโจว (Canton) ในมณฑลกวางตุ้งเป็นท่าเรือละเก่าแก่ที่สุด เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศมานานหลายศตวรรษ ชาวกวางตุ้งและชาวแต้จิ๋วส่วนใหญ่ออกเดินทางจากท่าเรือแห่งนี้

ท่าเรือเซี่ยเหมิน (Xiamen หรือ Amoy) ในมณฑลฝูเจี้ยนเป็นจุดออกเดินทางสำคัญของชาวฮกเกี้ยนและชาวไหหลำ ท่าเรือแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้าขายกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่าเรือกวางโจว (Quanzhou) และฝูโจว (Fuzhou) เป็นท่าเรือเก่าแก่ในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันอออกเฉียงใต้ ที่มีชื่อเสียงในอดีต ชาวจีนจากท่าเรือเหล่านี้แล่นเรือสำเภาไปยังฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสยาม    ท่าเรือซัวเถา (Swatow หรือ Shantou)และจังลิ้ม  เป็นท่าเรือสำคัญในมณฑลกวางตุ้งตอนเหนือ เป็นจุดออกเดินทางของชาวแต้จิ๋ว ท่าเรือฮ่องกงกลายเป็นท่าเรือสำคัญหลังจากตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ  2385 เป็นจุดผ่านทางและจุดรับส่งผู้อพยพที่สำคัญที่สุดในพุทธศตวรรษที่ 24 และ 25

นอกจากนี้ยังมีท่าเรือเล็กๆ มากมายตามชายฝั่งทะเลของมณฑลกวางตุ้ง ฝูเจี้ยน และเจ้อเจียง ชาวจีนที่ยากจนมักใช้ท่าเรือเล็กเหล่านี้เพื่อหลบหนีการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ในศตวรรษที่ 19 เกิดระบบ "ค้ากุลี" ที่คล้ายกับการค้าทาส บริษัทค้ามนุษย์จะรวบรวมชาวจีนที่ยากจนและส่งไปขายเป็นแรงงานในอเมริกา ออสเตรเลีย และอาณานิคมต่างๆ

ปลายทางและการตั้งรกราก

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สยามหรือประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญแห่งหนึ่ง ชาวจีนเริ่มอพยพมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมีบทบาทสำคัญในการค้าและบริหารราชการ หลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงส่งเสริมให้ชาวจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำงานเป็นช่างฝีมือ พ่อค้า คนงานขุดคลอง และทำไร่อ้อย

ในพุทธศตวรรษที่ 24 จำนวนชาวจีนในสยามเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยชาวแต้จิ๋วมีจำนวนมากที่สุด ตามมาด้วยชาวฮกเกี้ยน ชาวกวางตุ้ง ชาวไหหลำ และชาวฮ่อ ชาวจีนเหล่านี้ทำงานในเหมืองดีบุก สวนยางพารา ธุรกิจการค้า และรับราชการ การผสมกลมกลืนระหว่างชาวไทยกับชาวจีนทำให้เกิดสังคมที่เป็นเอกลักษณ์ ชาวจีนในไทยส่วนหนึ่งแต่งงานกับคนไทยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย

ท่าเรือสำคัญในประเทศไทยสำหรับชาวจีนโพ้นทะเล ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ท่าเรือ ฮวย จุ่ง ล้ง (ล้ง 1919)   ท่าเรือโปเส็ง ที่ตลาดน้อย  ท่าเรือเคเถา ที่ทรงวาด และท่าเรือตามเมืองชายทะเลเช่น  เกาะสีชัง ศรีราชา(เกาะลอย)   

มาลายาหรือมาเลเซียและสิงคโปร์ ก็เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญ ชาวจีนมาตั้งถิ่นฐานในมะละกาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากในศตวรรษที่ 24  ชาวจีนทำงานในเหมืองดีบุก สวนยางพารา และธุรกิจการค้า ปัจจุบันชาวจีนคิดเป็นประมาณร้อยละ 75 ของประชากรสิงคโปร์

อินโดนีเซียหรืออินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ในอดีตเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวจีนในชวาและสุมาตราทำงานเป็นช่างฝีมือ พ่อค้า และเกษตรกร ในพุทธศตวรรษที่ 24 และ 25 จำนวนชาวจีนเพิ่มขึ้นมาก ทำงานในไร่อ้อย สวนยางพารา และเหมืองต่างๆ    แต่ชาวจีนในอินโดนีเซียประสบกับการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงหลายครั้งในประวัติศาสตร์

ฟิลิปปินส์เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนตั้งแต่สมัยก่อนสเปนเข้ามาล่าอาณานิคม   ชาวจีนทำธุรกิจการค้าและเป็นคนกลางระหว่างสเปนกับชาวพื้นเมือง แม้จะถูกเบียดเบียนและสังหารหมู่หลายครั้ง ชาวจีนก็ยังคงตั้งถิ่นฐานและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสูงมาก

พม่าและอินโดจีน (เวียดนาม ลาว กัมพูชา) เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และเมืองท่า ชาวจีนทำธุรกิจการค้า งานฝีมือ และเป็นคนกลางทางเศรษฐกิจ     มีคนจีนไปลงทุนในกัมพูชาจำนวนมากทั้งแบบถูกและผิดกฏหมาย

สหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของจีนอพยพ ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 24การค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนียในปี พ.ศ 2381ดึงดูดชาวจีนนับหมื่นคนไปขุดทอง ชาวจีนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากมณฑลกวางตุ้ง

ในพ.ศ. 2403 ชาวจีนนับหมื่นคนถูกจ้างมาสร้างทางรถไฟข้ามทวีปเซนทรัลแปซิฟิก ชาวจีนที่อยู่ในอเมริกาหลายคนถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในย่านไชนาทาวน์ที่แออัด ชาวจีนทำงานในร้านซักรีด ร้านอาหาร และธุรกิจเล็กๆ บางคนกลับไปจีนเพราะไม่สามารถนำครอบครัวมาได้ ผู้ที่อยู่ต่อต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

แคนาดาก็มีประวัติศาสตร์คล้ายกัน ชาวจีนถูกนำเข้ามาทำงานสร้างทางรถไฟข้ามทวีปสายแคนาเดียนแปซิฟิกในพ.ศ. 2423 ไชนาทาวน์ในเมืองต่างๆ เช่น แวนคูเวอร์ โตรอนโต และมอนทรีออล กลายเป็นศูนย์กลางชุมชนจีน

เม็กซิโกและละตินอเมริกา มีชาวจีนอพยพไปตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะในคิวบา เปรู และเม็กซิโก ชาวจีนทำงานในไร่อ้อยและเหมืองต่างๆ ในสภาพเกือบเป็นทาส       การค้นพบทองคำในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ใน พ.ศ. 2394 ดึงดูดชาวจีนจำนวนมากไปขุดทองในวิกตอเรีย นิวเซาท์เวลส์ และควีนส์แลนด์      ชาวจีนคิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ขุดทองทั้งหมดในออสเตรเลีย หลังจากยุคทองคำสิ้นสุดลง ชาวจีนหลายคนกลับประเทศ แต่บางคนเลือกอยู่ต่อและทำงานในร้านซักรีด ร้านเฟอร์นิเจอร์ สวนผัก และร้านอาหาร

ชาวจีนเริ่มอพยพไปยุโรปในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 แต่จำนวนไม่มากเท่ากับที่อื่น       สหราชอาณาจักร (อังกฤษ): เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญแห่งหนึ่งมานาน ชาวจีนมาทำงานเป็นลูกเรือและตั้งรกรากในเมืองท่าต่างๆ โดยเฉพาะลอนดอนและลิเวอร์พูล ไชนาทาวน์ในลอนดอนย่านโซโห   มีคลื่นการอพยพเพิ่มขึ้นในช่วง พ.ศ. 2523 เมื่อมีการตกลงส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีน และอีกครั้งหลังเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินใน พ.ศ. 2532

ที่ฝรั่งเศส  หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คนงานจีนเข้ามาทำงานช่วยสร้างซ่อมแซมประเทศ  มีไชนาทาวน์ในกรุงปารีส และมีชุมชนชาวจีนในเมืองใหญ่ เช่น ลียง (Lyon) และ มาร์แซย์ (Marseille)

เนเธอร์แลนด์มีชาวจีนจากอินโดนีเซียซึ่งเป็นอาณานิคมเดิมของเนเธอร์แลนด์ เยอรมนีและประเทศยุโรปอื่นๆ ก็มีชาวจีนตั้งถิ่นฐานบ้าง แต่จำนวนไม่มากจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อนโยบายต่อต้านการอพยพผ่อนคลายลง

ชาวจีนเริ่มอพยพไปแอฟริกาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 แอฟริกาใต้มีชาวจีนจำนวนหนึ่งเข้ามาทำงานในเหมืองทองคำและเพชร มอริเชียสและเรอูนียงเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดียที่มีชาวจีนอพยพไปตั้งถิ่นฐาน ชาวจีนทำงานในไร่อ้อยและค้าขาย โดยเฉพาะหลังจากจีนเปิดประเทศ ชาวจีนจำนวนมากเดินทางไปทำงานก่อสร้างและธุรกิจในแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น แองโกลา ไนจีเรีย และซิมบับเว

ลักษณะการอพยพและชีวิตของผู้อพยพ

การอพยพของชาวจีนในแต่ละยุคสมัยมีลักษณะและวิธีการที่แตกต่างกัน ในยุคแรกๆ ก่อนศตวรรษที่ 19 พวกเขาเดินทางตามเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมโยงจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเดินทางทางทะเลในสมัยก่อนนั้นอันตรายมาก ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและลมมรสุม เรือสำเภาจีนหรือจังก์เป็นพาหนะหลัก ผู้โดยสารต้องเผชิญกับพายุ โจรสลัด โรคระบาด และความขาดแคลนอาหารน้ำ อัตราการเสียชีวิตในระหว่างการเดินทางค่อนข้างสูง

อาชีพและบทบาททางเศรษฐกิจ

ชาวจีนที่อพยพออกไปมีความขยันหมั่นเพียร ประหยัด และมีความสามารถในการค้าขายและธุรกิจ คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจแม้จะเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำมาก

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวจีนครองเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน ในสยาม ชาวจีนทำงานในเหมืองดีบุก สวนยางพารา การค้าข้าว โรงสี และธุรกิจการค้า พ่อค้าจีนเป็นคนกลางสำคัญระหว่างเกษตรกรไทยกับตลาดต่างประเทศ ชาวจีนเก็บภาษีอากรให้รัฐบาล ดำเนินการผูกขาดในหลายธุรกิจ และสะสมความมั่งคั่งมหาศาล

ในมาเลเซียและสิงคโปร์ ชาวจีนทำงานในเหมืองดีบุก สวนยางพารา และธุรกิจการค้า พ่อค้าจีนควบคุมการค้าระหว่างประเทศและการนำเข้าส่งออก ชาวจีนยังเป็นช่างฝีมือที่มีฝีมือ เช่น ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทอง และช่างตัดเสื้อ

ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ชาวจีนครองธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง พวกเขาเป็นคนกลางที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจ ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตท้องถิ่นและขายให้กับตลาดในเมือง ความสำเร็จทางเศรษฐกิจนี้บางครั้งทำให้เกิดความอิจฉาริษยาและความขัดแย้งกับชาวพื้นเมือง

ในสหรัฐอเมริกา รุ่นแรกของชาวจีนทำงานเป็นคนขุดทอง คนงานทางรถไฟ คนงานในฟาร์ม และงานบริการต่างๆ เมื่อถูกขับออกจากเหมืองทองคำและงานก่อสร้าง ชาวจีนหันไปทำธุรกิจซักรีด ร้านอาหาร และร้านขายของชำ ธุรกิจเหล่านี้ไม่ต้องการทุนมากและไม่แข่งขันโดยตรงกับคนผิวขาว ทำให้สามารถดำเนินการได้    ร้านซักรีดเป็นอาชีพที่แพร่หลายที่สุดของชาวจีนในอเมริกา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีร้านซักรีดจีนนับพันแห่งในเมืองต่างๆ ทั่วอเมริกา งานนี้หนักและน่าเบื่อ ต้องทำงานยาวนานในสภาพร้อนและชื้น แต่ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ชาวจีนสามารถเลี้ยงชีพได้

ร้านอาหารจีนก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่แพร่หลาย ชาวจีนดัดแปลงอาหารจีนให้เหมาะกับรสนิยมของคนตะวันตก สร้าง "อาหารจีน-อเมริกัน" ที่มีลักษณะเฉพาะตัว อาหารจีนกลายเป็นที่นิยมและแพร่หลายไปทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในอาหารต่างชาติที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

ในประเทศไทย ชาวจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองใหญ่และศูนย์กลางเศรษฐกิจ ชาวจีนเป็นผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่สำคัญ สร้างโรงสี โรงงาน ธนาคาร และธุรกิจต่างๆ มากมาย ในปัจจุบัน คนไทยเชื้อสายจีนมีบทบาทในทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยกับจีนทำให้เกิดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย

ในสิงคโปร์ ชาวจีนเป็นกลุ่มประชากรหลักและเป็นผู้สร้างประเทศให้เจริญก้าวหน้า จากเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการเงินละการค้าที่สำคัญของโลก ภายใต้การนำของลีกวนยู ซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว สิงคโปร์พัฒนาเป็นประเทศที่มั่งคั่งและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนกลายเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จทางการศึกษาและอาชีพสูง ในศตวรรษที่ 20 และ 21 ชาวจีนและลูกหลานมีบทบาทสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์ และธุรกิจ ในซิลิคอนวัลเลย์ ชาวจีนและชาวเอเชียเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี

การอพยพในยุคปัจจุบัน

การอพยพของชาวจีนในพุทธศตวรรษที่ 26 มีลักษณะแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง       ชาวจีนในปัจจุบันไม่ได้อพยพเพราะความอดอยากหรือสงคราม แต่เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าทางการศึกษา อาชีพ และคุณภาพชีวิต ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี มีทักษะและความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ

นักเรียนจีนเป็นกลุ่มนักเรียนต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย  ไทย และประเทศตะวันตกอื่นๆ พวกเขาเรียนในระดับมัธยมศึกษา ปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หลายคนเลือกอยู่ต่อหลังเรียนจบและทำงานในประเทศเหล่านั้น

นักธุรกิจและนักลงทุนจีนเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำธุรกิจและลงทุน พวกเขาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ ลงทุนในบริษัทต่างประเทศ และขยายธุรกิจไปทั่วโลก การเติบโตของชนชั้นกลางในจีนทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการจากต่างประเทศสูงขึ้น นักท่องเที่ยวจีนกลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดและมีกำลังซื้อสูงที่สุดในโลก

นอกจากนี้ยังมีการอพยพของผู้มีทรัพย์สินมั่งคั่งที่ต้องการย้ายทรัพย์สินออกนอกจีนเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางการเมือง พวกเขาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ และขอสัญชาติหรือถ่ายทะเบียนถาวรในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์

การอพยพของคนรวยจีนทำให้เกิดปัญหาการไหลออกของทุนและสมอง จีนเสียทั้งเงินและคนที่มีความสามารถไปให้ประเทศอื่น รัฐบาลจีนพยายามควบคุมการไหลออกของทุนและมีมาตรการกระตุ้นให้คนเก่งกลับมาพัฒนาประเทศ แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะอยู่ต่างประเทศเพราะเสรีภาพ คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า

โดย อาทร  จันทวิมล

ขอบคุณภาพจาก www.silpa-mag.com 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top