วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ประวัติศาสตร์จีนในพุทธศตวรรษที่ 25 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพลิกผันครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยของ เหมา เจ๋อตุง (毛泽东) (พ.ศ.2492-2519) ซึ่งเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก ประธานเหมาได้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนก้าวขึ้นสู่อำนาจและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีพ.ศ. 2492 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมไปสู่รัฐสังคมนิยมภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยึดหลักการคอมมิวนิสต์รัสเซียของ มากซ์-เลนิน แล้วพัฒนาเป็น”ลัทธิเหมา” ซึ่งเน้นการปฏิวัติชนบทและการต่อสู้ของชนชั้น
การเดินทางไกล (Long March 长征) ก่อนที่จะขึ้นสู่อำนาจ เหมาและพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสำคัญอย่างพรรค ก๊กมินตั๋ง ที่นำโดยเจียง ไคเช็ก การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนกระทั่งในปีพ.ศ. 2477 ทหารพรรคคอมมิวนิสต์ 86,000 คน ถูกกองทัพก๊กมินตั๋งล้อมไว้ จึงต้องตัดสินใจ เดินทางไกล (Long March) จากมณฑลเจียงซีไปยังส่านซี เพื่อหลบหนีการโจมตี การเดินทางครั้งนี้กินระยะทางกว่า 12,500 กิโลเมตร ผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย เสียทหารไปกว่าร้อยละ 80 การเดินทางไกลไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางหลบหนี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตนและความอดทนของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งช่วยสร้างความชอบธรรมและความแข็งแกร่งให้กับเหมาในฐานะผู้นำ
กองพล 93 : ชะตากรรมของทหารก๊กมินตั๋ง กองพล 93 เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพก๊กมินตั๋งที่ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ กองพลส่วนหนึ่งได้ถอยร่นเข้ามาในเขตชายแดนไทย-พม่า และไม่สามารถเดินทางกลับเมืองจีนได้ ทหารเหล่านี้ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่ดังกล่าวและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ในพื้นที่ชายแดน การดำรงอยู่ของกองพล 93 สะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองและประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนของจีน
การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตุงได้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหนือพรรคก๊กมินตั๋ง (國民黨) ของเจียงไคเช็ก ในสงครามกลางเมืองจีนที่ยาวนานกว่า 20 ปี เจียงไคเช็กนำทหารหนีไปเกาะไต้หวัน การสถาปนารัฐบาลใหม่ของเหมาเจ๋อตุงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจของจีน มีการฟื้นฟูเมืองต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากสงครามกลางเมือง เมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว
นโยบายปฏิรูปที่ดิน (_Land Reform 土地改革) : โดยยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินรายใหญ่และแจกจ่ายให้ชาวนาที่ไม่มีที่ทำกิน หรือมีที่ดินน้อย โดยเจ้าของที่ดินจะถูกนำตัวมาต่อหน้าสาธารณชนและถูกประณามในความผิดฐานกดขี่ขูดรีดชาวนา ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชนบท ชาวนาที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้กลายเป็นฐานกำลังที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในระหว่างกระบวนการปฏิรูปที่ดิน มีเจ้าของที่ดินจำนวนมากถูกสังหารหรือลงโทษอย่างรุนแรงโดยกลุ่มชาวนาที่โกรธแค้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตอย่างมากมาย ในระยะต่อมา ที่ดินที่ถูกแจกจ่ายให้กับชาวนาได้ถูกรวมเข้าเป็น "สหกรณ์การเกษตร" (农业合作社) ซึ่งเป็นก้าวแรกของการรวมกลุ่มการผลิต และในที่สุดก็นำไปสู่การจัดตั้ง "คอมมูนประชาชน" (人民公社 ) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจของจีน
นโยบาย การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (Great Leap Forward): เริ่มในปี 1958 เพื่อเร่งอุตสาหกรรมและการผลิตเหล็ก เมืองจีนได้รับการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขนาดเล็ก ประชาชนในเมืองถูกระดมให้ทำงานในเตาหลอมเหล็กในสวนหลังบ้านและโรงงานขนาดเล็ก แม้ว่านโยบายนี้จะล้มเหลวในที่สุด นำไปสู่ความอดอยากครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน แต่ก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำให้เมืองเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรม
นโยบาย การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution文化大革命): พ.ศ. 2509-2519 เพื่อกำจัด “แนวคิดเก่า” และศัตรูทางอุดมการณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อกำจัด "ชนชั้นนำเก่า และค่านิยมดั้งเดิม" รวมทั้งผู้ที่มีแนวคิดทุนนิยมออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติครั้งนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างรุนแรงในสังคม มีการล้างสมองเยาวชน ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิม และสิ่งของเก่าแก่มากมาย นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้มีความรู้จำนวนมากถูกสังหารหรือถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบท นักเรียนและเยาวชนในเมืองจำนวนมากถูกส่งไปทำงานในไร่นาและฟาร์มรัฐ อาคารและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งถูกทำลาย ชื่อถนนและสถานที่ต่างๆ ถูกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับอุดมการณ์สังคมนิยม การปฏิวัติวัฒนธรรมสร้างความวุ่นวายในเมืองต่างๆ กองกำลังเยาวชนแดง เรดการ์ด Red Guards ทำลายทรัพย์สินและข่มขู่ประชาชน ระบบการศึกษาและสถาบันวัฒนธรรมหลายแห่งถูกปิดหรือหยุดการดำเนินงาน
แก๊งค์สี่คนและบทบาททางประวัติศาสตร์ ในช่วงปลายยุคของเหมา แก๊งค์สี่คน (Gang of Four四人帮) ซึ่งนำโดยเจียง ชิง ภรรยาของเหมา ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างๆ พวกเขาใช้อำนาจที่มีในการควบคุมสื่อและการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสนับสนุนการปฏิวัติวัฒนธรรมและขับเคลื่อนแนวคิดแบบสุดโต่ง หลังจากที่เหมาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2519 แก๊งค์สี่คนก็ถูกจับกุมจำคุกและถูกตั้งข้อหาเป็นอาชญากรทางการเมือง การสิ้นสุดของแก๊งค์สี่คนถือเป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยที่วุ่นวายและเปิดโอกาสให้จีนเข้าสู่ช่วงการปฏิรูปประเทศ
สี่ทันสมัย : การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมและแก๊งค์สี่คนสิ้นสุดลง เติ้ง เสี่ยวผิง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและผลักดันนโยบาย สี่ทันสมัย (Four Modernizations) เพื่อพัฒนาประเทศจีนในสี่ด้านหลัก ได้แก่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ นโยบายนี้มุ่งเน้นการเปิดรับเศรษฐกิจแบบตลาดและต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์จีนสมัยเหมา เจ๋อตุงเต็มไปด้วยเรื่องราวความขัดแย้ง ความสูญเสีย และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการเดินทางไกลเพื่อสร้างรากฐานของพรรคคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติวัฒนธรรมที่ทิ้งบาดแผลไว้ในสังคม ไปจนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคสี่ทันสมัยที่นำพาจีนไปสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองและพลังของการเปลี่ยนแปลงในสังคมจีน
ความดี 7 ข้อ และข้อผิดพลาด 3 ข้อของเหมา เจ๋อตุง
เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนรุ่นต่อมาได้ประเมินว่าเหมาเจ๋อตุงได้ทำความดี 7 ประการคือ
1.รวมชาติและฟื้นฟูอำนาจของจีน : เหมา เจ๋อตุงเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนสู่ชัยชนะในสงครามกลางเมือง และการล่าอาณานิคม สามารถรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง หลังจากที่ตกอยู่ในสภาวะแตกแยกสงครามกลางเมืองมานานหลายทศวรรษ สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีพ.ศ. 2492 ยุติช่วงเวลาแห่งสงครามและความวุ่นวาย
2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน : รัฐบาลของเหมาได้ริเริ่มโครงการขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การสร้างถนน ทางรถไฟ และเขื่อน ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคต
3. สร้างความเท่าเทียมทางสังคม : ยุติระบบศักดินา ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพิ่มความเท่าเทียมในชนบท โดยเฉพาะการปฏิรูปที่ดินกระจายทรัพย์สิน ทำให้ชาวนาได้เป็นเจ้าของที่ดิน เลิกธรรมเนียมการคลุมถุงชนและการกดขี่ผู้หญิง ส่งเสริมให้หญิงจีนมีสิทธิและบทบาทมากขึ้น ลดความแตกแยกทางภูมิภาคและชนชั้น
4. ส่งเสริมการศึกษาและการรู้หนังสือ : รัฐบาลของเหมาได้เปิดโรงเรียนทั่วประเทศและดำเนินโครงการส่งเสริมการศึกษาขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้คนจีนจำนวนมากสามารถอ่านออกเขียนได้ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
5. พัฒนาสาธารณสุขพื้นฐาน : เหมาให้ความสำคัญกับการสาธารณสุข โดยส่งหมอเท้าเปล่า และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไปยังพื้นที่ชนบทเพื่อให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างมาก
6. สร้างความมั่นคงของชาติ : ภายใต้การนำของเขา จีนสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในเวทีระหว่างประเทศ และสามารถต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและสงครามกลางเมือง ด้วยยุทธศาสตร์ “ชนบทล้อมเมือง” และสงครามประชาชน
7. เป็นแรงบันดาลใจให้แก่การต่อสู้เพื่อปลดปล่อย : อุดมการณ์ของเหมา หรือที่เรียกว่า ลัทธิเหมา (Maoism) ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ขบวนการคอมมิวนิสต์และขบวนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยในประเทศโลกที่สามหลายแห่ง
ความผิดพลาด 3 อย่างของเหมา เจ๋อตุง
1. การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (The Great Leap Forward): เป็นโครงการเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนจีนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วในช่วงปลายทศวรรษ 1950 อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงและนำไปสู่ภาวะอดอยากครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนจีนไปหลายสิบล้านคน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
2. การปฏิวัติวัฒนธรรม (The Cultural Revolution): เป็นขบวนการที่เหมาเริ่มต้นขึ้นเมื่อพ.ศ. 2509 เพื่อกำจัด "ชนชั้นกระฎุมพี" และผู้ที่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติ (ลัทธิแก้) ที่เขาอ้างว่าแทรกซึมเข้ามาในพรรคคอมมิวนิสต์และสังคมโดยรวม การปฏิวัตินี้ส่งผลให้เกิดความรุนแรงและความวุ่นวายอย่างกว้างขวาง โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องปิดตัวลง ผู้คนจำนวนมากถูกสังหารหรือส่งไปใช้แรงงานในชนบท และทำลายวัฒนธรรมอันล้ำค่าของจีนไปเป็นจำนวนมาก
3. การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและการปราบปรามทางการเมือง: เพื่อรักษาอำนาจ เหมาได้ใช้วิธีการที่รุนแรงในการปราบปรามผู้เห็นต่างและผู้ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของพรรคคอมมิวนิสต์ ควบคุมสื่อไม่ให้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งนำไปสู่การสังหารหมู่และลงโทษผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
โดย อาทร จันทวิมล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี