(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
คณะอนุกรรมาธิการกิจการเด็ก และเยาวชน มีความเห็นสอดคล้องเป็นไปในทางเดียวกันกับคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามมาตรฐานรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยเห็นควรให้ทุกภาคส่วนของสังคมตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการเล่นกีฬาในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่ใช่เพียงกีฬามวยเท่านั้นที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและสมองของเด็กและเยาวชน แต่ยังมีกีฬาอีกหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาที่มีลักษณะแบบปะทะที่มีความเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน อาทิ การว่ายน้ำ กีฬาฟุตบอล เทควันโด นอกจากนี้ ยังหมายรวมถึงเครื่องเล่นนันทนาการสำหรับเด็ก เช่น เครื่องเล่นสำหรับเด็กในศูนย์การค้าที่ส่งผลให้เด็กได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานหรือกฎหมายที่จะคุ้มครอง ดูแลด้านมาตรฐานการความปลอดภัยเป็นการเฉพาะ ดังนั้น จึงไม่ได้มุ่งเน้นแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้พิจารณาศึกษาสภาพปัญหาของเด็กและเยาวชนซึ่งได้รับอุบัติเหตุจากการกีฬาหรือนันทนาการบ่อยครั้งและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางรายได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงพิการอันส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านร่างกายและสติปัญญาของเด็ก และในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการสอน การฝึกซ้อม การเล่นหรือการแข่งขันกีฬาหรือนันทนาการอย่างไม่ถูกวิธีขาดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา รวมทั้งอุปกรณ์การกีฬาหรืออุปกรณ์เครื่องเล่นด้านนันทนาการและการติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เด็กและเยาวชนอาจได้รับอุบัติเหตุจากการกีฬาหรือนันทนาการ จึงเห็นสมควรกำหนดแนวทางส่งเสริมความปลอดภัยในการสอน การฝึกซ้อม การเล่น หรือการแข่งขันกีฬาและนันทนาการของเด็กและเยาวชน รวมทั้งมาตรฐานอุปกรณ์การกีฬาและเครื่องเล่นนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน จึงได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมความปลอดภัยในการเล่นกีฬาและนันทนาการของเด็กและเยาวชน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญของกฎหมาย ดังนี้
“ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน พ.ศ. ....” ฉบับนี้ จะเป็นมาตรการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน และเป็นแนวทางที่จะสามารถช่วยป้องกันและลดอุบัติเหตุของเด็กและเยาวชนจากการกีฬาหรือนันทนาการได้ ที่สำคัญจะช่วยให้มีมาตรฐานความปลอดภัยในการสอน การฝึกซ้อมการเล่น หรือการแข่งขันกีฬาและนันทนาการของเด็กและเยาวชน รวมทั้งมาตรฐานในอุปกรณ์การกีฬาและเครื่องเล่นนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีทั้งหมด ๔๔ มาตรา โดยได้จัดแยกหมวดตามเนื้อหาของกฎหมายออกเป็น ๖ หมวด และบทเฉพาะกาล ได้แก่
หมวด ๑ บททั่วไป (มาตรา ๔ - ๕) เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน กำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน รวมถึงกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะเกี่ยวกับสถานที่และอุปกรณ์การกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน รวมถึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้าถึงการเล่นกีฬาและนันทนาการที่มีความปลอดภัย
หมวด ๒ คณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน (มาตรา ๘-๑๙) กำหนดให้
มีคณะกรรมการเพื่อกำกับดูแลมาตรการตามกฎหมายนี้ ๒ ระดับ คือคณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน (จำนวน ๓๔ คน) ที่ดูแลในระดับนโยบาย และคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานเพื่อความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน (จำนวน ๓๕ คน) ที่จะทำหน้าที่ในการประสานและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยมีกรมพลศึกษา เป็นสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการของทั้งสองคณะ
หมวด ๓ มาตรการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาสำหรับเด็กและเยาวชน (มาตรา ๒๐-๒๕) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยให้บุคคลหรือหน่วยการกีฬาที่จัดให้มีการสอน การฝึก การซ้อม การเล่น หรือการแข่งขันกีฬาสำหรับเด็กและเยาวชน จะต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาสำหรับเด็กและเยาวชน เช่น กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ป้องกันอันตรายหรือช่วยชีวิตพร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นประจำอยู่ หากเป็นกีฬาปะทะ กีฬาต่อสู้ หรือกีฬาที่มีลักษณะเสี่ยงอันตราย ต้องจัดให้เด็กและเยาวชนสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากกีฬาชนิดและประเภทนั้นๆ ให้การรักษาพยาบาลและช่วยเหลือนักกีฬาเด็กและเยาวชนที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการกีฬาตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่คณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชนกำหนด ห้ามจัด หรือสนับสนุนการจัดให้มีการเล่นพนันซึ่งกีฬาที่เด็กแข่งขัน
หมวด ๔ มาตรการส่งเสริมความปลอดภัยในนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน (มาตรา ๒๖-๒๙) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยให้บุคคลหรือหน่วยนันทนาการจะต้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน เช่น จัดให้มีบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลพื้นฐาน พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเพื่อให้บริการปฐมพยาบาลแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นหรืออุปกรณ์ของสวนสนุก ให้การรักษาพยาบาลและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการเล่นนันทนาการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่คณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชนกำหนด
หมวด ๕ มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน (มาตรา ๓๐-๓๗) กำหนดอำนาจหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนี้ในการปฏิบัติ ติดตามตรวจสอบ กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยการกีฬาหรือหน่วยนันทนาการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยที่คณะกรรมการกำหนด รวมถึงการสั่งให้หยุดการดำเนินการทั้งหมด หรือแต่บางส่วนของหน่วยการกีฬาหรือหน่วยนันทนาการที่ฝ่าฝืนไม่ดำเนินการตามที่กฎหมายนี้กำหนดเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน
หมวด ๖ บทกำหนดโทษ (มาตรา ๓๘-๔๒) สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่กฎหมายฉบับนี้กำหนด ซึ่งมีทั้งโทษจำคุก หรือโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่ให้แก้ไขและได้มีการดำเนินการแก้ไขหรือปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด การดำเนินคดีอาญานั้นก็เป็นอันระงับไป
บทเฉพาะกาล (มาตรา ๔๓-๔๔) เรื่องกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน สำหรับการประชุมคณะกรรมการครั้งแรก และกำหนดให้หน่วยการกีฬาหรือหน่วยนันทนาการที่ดำเนินการอยู่ก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ จนกว่าคณะกรรมการจะออกระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน พ.ศ. .... มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการเล่นกีฬาในกลุ่มเด็กได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมเด็กให้มีการพัฒนาและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นอนาคตที่มีคุณภาพของชาติต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนแก้ไขของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมาธิการได้มีข้อสังเกตต่อร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมความปลอดภัยในการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็กและเยาวชน พ.ศ. ….และได้นำเสนอข้อสังเกตไปยังคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามมาตรฐานของรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาต่อไป
๒.มิติด้านร่างกายและจิตใจ
(๑) ด้านร่างกาย จากผลการวิจัยสมองของนักมวยเด็กจากโครงการวิจัยและติดตามกลุ่มนักมวยเด็กของศูนย์รังสีวินิจฉัยก้าวหน้า (ไอแมค AIMC) ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก (CSIP) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปีที่ก้าวเข้ามาสู่วงการมวยไทยตั้งแต่ยังเล็กได้รับการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อสมองของเด็กอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะสมองพัฒนาด้านสติปัญญา การควบคุม กล้ามเนื้อและการทรงตัว การเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กได้รับความกระทบกระเทือนและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของสมองและสติปัญญาที่อาจลดต่ำลง ส่งผลต่อการศึกษาและการดำรงชีวิตของเด็กในอนาคต อีกทั้งอาจส่งผลให้มีโรคทางระบบประสาทในอนาคตซึ่งจะเป็นภาระต่อคนรอบข้างที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอให้มีการกำหนดระเบียบ กฎกติกาในการชกมวยเด็กเบื้องต้น ดังนี้
๑) ไม่มีการต่อสู้แบบปะทะ (combat) ในเด็กอายุต่ำกว่า ๑๐ ปีแต่ให้ฝึกฝนทักษะกับครูฝึก หรือชกและเตะกระสอบทราย เรียนรู้ท่าทางต่างๆ ของมวยแทน
๒) มีการต่อสู้แบบปะทะ ในเด็กอายุ ๑๐-๑๕ ปี โดยไม่มุ่งเน้นทำร้ายเป้า และห้ามชกศีรษะ โดยมีการสัมผัสเป้า แต่ห้ามมีเจตนาทำร้าย (สัมผัสเป้าได้คะแนน ทำร้ายเป้าหักคะแนน) ในทางตรงกันข้ามการกระทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงโดยตั้งใจต้องถูกลดทอนคะแนนหรือทำโทษผู้แข่งขันโดยวิธีต่างๆ นอกจากนี้ ควรต้องกำหนดจำนวนยก เวลาแต่ละยก ระยะเวลาห่างในการชกแต่ละครั้ง และช่วงระยะเวลาพักเมื่อถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะบาดเจ็บสมองเล็กน้อยเกิดขึ้น โดยต้องพิจารณาให้มีความเหมาะสมตามแต่ละช่วงอายุ
๓) มีการใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสมตามวัย เช่น สวม head guard กระจับ เป็นต้น
(๒) ด้านจิตใจ โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่พร้อมจะชกมวย แต่อาจถูกบังคับและอาจมีความจำเป็นต่างๆ ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจ ดังนั้น ควรพิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางในการดูแลเยียวยานักมวยทั้งระหว่างการชกของนักมวยเด็กเช่น การจัดหาอุปกรณ์ และเครื่องมือในการป้องกันต่างๆ ให้มีความเหมาะสมเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของนักกีฬา การเตรียมการรักษาพยาบาลกรณีการเกิดการบาดเจ็บระหว่างชก การอบรมพี่เลี้ยงนักมวย และการดูแลภายหลังการชก โดยพิจารณากำหนดสิทธิการดูแลเยียวยาจากกองทุนกีฬามวยให้เกิดความเหมาะสมกับปัจจุบัน กรณีเกิดการบาดเจ็บหรือกรณีเสียชีวิตซึ่งเกิดจากการชกมวย
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามเด็กที่ชกมวย ตั้งแต่เริ่มชกจนกระทั่งเข้าสู่อาชีพในแต่ละปี รวมถึงการศึกษาวิจัยหรือเก็บรวบรวมข้อมูลกรณีเด็กได้รับบาดเจ็บจากการชกมวยในระดับที่รุนแรงและเฉียบพลัน เช่น เกิดความผิดปกติที่รุนแรง เป็นอัมพาต บ้างหรือไม่ อย่างไร เพื่อหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นในวงกว้างต่อไป
๓.มิติด้านวัฒนธรรม
(๑) สนับสนุนให้การชกมวยเด็กเป็นเพียง “การรักษาศิลปะและวัฒนธรรม และกีฬาที่มีกฎกติกาที่เหมาะสมตามอายุ” และต้อง “ไม่ชกมวยเป็นอาชีพ ไม่คิดว่าการชกมวยเป็นการทดแทนคุณ การยกเลิกทารุณกรรมใช้แรงงานเด็ก และไม่เป็นการพนัน”
(๒) รณรงค์และส่งเสริมให้การแข่งขันชกมวยไทยเป็นกีฬาที่ได้รับการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย โดยเสนอให้บรรจุเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรหรือกิจกรรมพิเศษในโรงเรียนและต้องกำหนดอายุผู้เล่นมิให้ต่ำกว่า ๙ ปีบริบูรณ์ โดยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อรักษาศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้คงอยู่คู่คนไทยต่อไป ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลเรื่อง “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ด้วย อย่างไรก็ตาม ควรต้องให้ความสำคัญและคำนึงถึงการปกป้องและคุ้มครองความปลอดภัยต่อเด็กเป็นสำคัญ
(๓) สนับสนุนให้การแข่งขันชกมวยเป็นกีฬาที่มีการสอนและฝึกซ้อมอย่างแพร่หลาย เช่น เดียวกับกีฬาปะทะอื่นๆ เช่น กีฬาเทควันโดหรือยูโด เพื่อให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในทุกระดับได้เรียนรู้กันโดยกว้างขวาง เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านกีฬา
(๔) กำหนดมาตรการทางสังคมควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาในมิติอื่นๆโดยกำหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปดูแลครอบครัว พัฒนาอาชีพและรายได้ นอกจากนี้ กรณีเด็กต้องชกมวยเนื่องจากปัญหาความยากจน ก็ควรมีกระบวนการตามกฎหมายคุ้มครองเด็กที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือดูแลคุ้มครองเด็กต่อไป
ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือและการกำหนดเป้าหมายร่วมกับหน่วยงานในทุกระดับ โดยต้องพิจารณาให้ครอบคลุมมิติทั้ง ๓ ด้าน ได้แก่ ๑) มิติด้านกฎหมาย ๒) มิติด้านร่างกายและจิตใจ และ๓) มิติด้านวัฒนธรรม นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ก็ยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท้าทายสู่การสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศไทย
ผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง “สภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการเล่นกีฬาในกลุ่มเด็ก กรณีศึกษาการเล่นกีฬามวยในกลุ่มเด็ก” ดังกล่าวจึงถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้สนใจศึกษาประเด็นที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน รวมถึงเป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการร่วมกันเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนต่อไปในอนาคต
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๕-๖โทรสาร ๐ ๒๘๓๑ ๙๒๒๖
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม
หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี