นักการเมืองเป็นอาชีพหนึ่งที่คนไทยจำนวนมากมีความเห็นตรงกันว่าไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าศรัทธา เพราะนักการเมืองจำนวนไม่น้อยเป็นผู้ที่ถูกสาธารณชนมองเห็น และจับได้ว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่ายฉ้อฉล ทุจริต คอร์รัปชันเป็นประจำ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยยังต้องการเป็นนักการเมือง เพราะเห็นว่าเมื่อเป็นนักการเมืองแล้วทำให้มีอำนาจการเมือง เมื่อมีอำนาจการเมืองแล้วก็ทำให้มีผลประโยชน์มากมายมหาศาล แถมยังมีอำนาจไว้ต่อรองกับกฎหมายได้อีกด้วย ดังนั้น จึงพบว่าคนไทยบางโคตร บางตระกูลจึงนิยมให้ลูกหลาน สามีภรรยา และญาติพี่น้องเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะในพรรคการเมืองที่มีเจ้าของพรรคเป็นนายทุน หรือที่เรียกว่านักธุรกิจการเมือง
ในแวดวงการเมืองไทยมีคำว่า บ้านใหญ่ และตระกูลนักการเมืองเจ้าถิ่น ซึ่งคำเหล่านี้ส่อสะท้อนถึงความเป็นวงศ์วานว่านเครือและโคตรเหง้าของกลุ่มบุคคลที่เวียนว่ายอยู่ในการเมืองระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ถึงระดับประเทศ (คือส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น)
คนไทยพบและทราบดีว่าบางโคตรเหง้านั้นมีความต้องการครอบครองอำนาจรัฐในระดับต่างๆ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงมีภาพของเครือญาติกับอำนาจการเมืองบังเกิดขึ้น แล้วก็ยังพบว่าโคตรเหง้าของคนบางคน เช่น นามสกุลเดียวกัน หรือเป็นพี่น้อง เป็นญาติโกโหติกา เป็นผัวเมียกัน พยายามเข้าไปยึดกุมอำนาจรัฐตั้งแต่ระดับชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด (ตั้งแต่ อบต. ไปจนถึง อบจ.) และยังมีในระดับเทศบาลต่างๆ ตั้งแต่เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนครไล่เรื่อยไปจนถึงการเมืองระดับประเทศ คือการได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. แล้วยังรวมถึงการได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วย
การมีอำนาจรัฐในการเมืองไทยเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งและนักธุรกิจการเมือง และนักธุรกิจต่างแสวงหากันทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน รวมถึงผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจำพวกตะกายดาว เพราะต้องการมีอำนาจรัฐในยามที่ตนเองเกษียณราชการ หรือพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารองค์กรไปแล้ว
เนื้อหาในบทความต่อจากนี้ ขอจำกัดเฉพาะแวดวงการเมืองระดับชาติ คือรัฐบาล เพราะรัฐบาลคือผู้มีอำนาจบริหาร โดยมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเป็นแกนสำคัญของผู้มีอำนาจบริหาร
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเรื่องที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอย่างมากสำหรับคนทั่วไป แต่ทว่าในยุคหลังๆ นี้ โดยเฉพาะในระยะ 2-3 ทศวรรษนี้ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยดูเป็นเรื่องง่ายดายมาก โดยเฉพาะกับคนที่มีโคตรเหง้าเป็นนักธุรกิจการเมือง เป็นเจ้าของพรรคการเมือง และเป็นผู้ที่มีลิ่วล้อบริวารทางการเมืองจำนวนมาก แล้วที่สำคัญคือต้องมีพ่อเป็นเจ้าของพรรคการเมือง
สาธารณชนได้เห็นชัดเจนแล้วว่าครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร คือตัวอย่างตระกูลการเมืองไทยที่มีเรื่องราวสารพัดชนิดให้ติดตามมาตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปี แต่ในความเป็นจริงนั้น เมื่อสืบค้นลึกลงไปในอดีต ก็จะพบว่าครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวข้องกับการเมืองระดับประเทศ และระดับจังหวัดมายาวนานประมาณ 50-60 ปีแล้ว เพราะพ่อและอาของทักษิณก็เป็น สส.เชียงใหม่ และญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือของทักษิณก็อยู่ในวงการการเมืองระดับต่างๆ แถมยังเข้าไปมีอำนาจในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ รวมถึงในกองทัพบก และตำรวจอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องผิดกับการมีญาติพี่น้อง โคตรเหง้าเป็นนักการเมือง เพราะหากเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจรัฐ ด้วยความขาวสะอาด ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ แต่คำถามคือแล้วเหล่าโคตรเหง้าการเมืองไทยทุกโคตรตระกูลเข้าสู่วงจรแห่งอำนาจการเมืองด้วยความขาวสะอาดจริงหรือ
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าวงการการเมืองไทยระดับชาติ ไม่ได้มีเพียงแค่โคตรเหง้าชินวัตรเท่านั้น เพราะยังมีอีกสารพัดโคตรเหง้าบนเวทีการเมืองไทย เช่น สะสมทรัพย์ คุณปลื้ม เวชชาชีวะ ศิลปอาชา ชิดชอบ มีนชัยนันท์ ฉายแสง เทียนทอง ไทยเศรษฐ อยู่บำรุง ศรีวิกรม์ ปุณณกันต์ อัศวเหม และจึงรุ่งเรืองกิจ เป็นต้น (แต่บางโคตรตระกูลก็ห่างหายไปจากเวทีการเมือง เพราะเจ้าตระกูลหนีคดีอาญา บางรายก็ล้มหายตายจากไปแล้ว รวมถึงบางรายก็ล้มหมอนนอนเสื่อ กลายเป็นผักบ้าง นอนติดเตียงบ้าง โดยไม่สามารถหาทายาทอสูรสืบต่อกิจการการเมืองแบบโคตรเหง้าได้อีกต่อไป)
แต่หากเจาะลึกลงไปในระดับท้องถิ่นก็จะยิ่งพบว่ามีโคตรเหง้าการเมืองฝังตัวอยู่อีกเป็นจำนวนมาก แล้วหากจะเอ่ยชื่อโคตรเหง้าเหล่านั้นทั้งหมด ก็ต้องใช้เวลาพูดถึงนานเป็นวัน
ทีนี้มาดูกันว่าทำไมคนในบางโคตรเหง้าจึงต้องการดันหนุนส่งให้ลูกหลาน ผัวเมีย ญาติพี่น้องเข้าไปมีอำนาจรัฐ คำตอบเรื่องนี้ยังเหมือนเดิมคือเพราะมีอำนาจรัฐแล้วมันมีเงินทองมากมาย มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีคนคอยรองมือรองตีน และมีอำนาจเถื่อนไว้คัดง้างต่อรองกับอำนาจบังคับโดยกฎหมายได้อีกด้วย แถมเมื่อเวลาทำผิดกฎหมายโดยเจตนาก็ยังอำนาจต่อรองกับผู้รักษากฎหมายและผู้ตัดสินคดีความได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เมื่อโคตรเหง้าบางโคตรวนเวียนอยู่กับการมีอำนาจรัฐ ดังนั้นก็จึงไม่ประหลาดเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการ (โกง) เลือกตั้ง หรือมาจากรัฐประหาร ก็จึงมัก พบว่ามีบุคคลนามสกุลเดิมๆ หน้าซ้ำๆเวียนวนเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเป็นประจำ แล้วคนจำพวกนั้นก็สลับสับเปลี่ยนกันนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโน่นนี่นั่น ราวกับเล่นเก้าอี้ดนตรี หรือเกมลิงชิงหลัก แต่มิใช่แค่เพียงเท่านั้น ยังพบว่าคนในโคตรเหง้านักการเมืองก็ยังส่งโคตรเหง้าของตน และบรรดาลิ่วล้อบริวาร ขี้ข้าขี้ครอกของตนเข้าไปกินตำแหน่งประธานบอร์ด และบอร์ดบริหารในหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ได้รับผลตอบแทนอย่างงดงามอีกด้วย
ต้องยอมรับว่าการได้เป็นรัฐบาล คือเป้าหมายสูงสุดของเหล่าบรรดาคนที่กระเสือกกระสนเวียนว่ายทุรนทุรายอยู่บนเวทีแห่งอำนาจรัฐ การได้เป็นนายกรัฐมนตรีมันคือสุดยอดของการได้ครอบครองอำนาจรัฐ ถึงแม้คนบางคนไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความละอายแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั้งศีลธรรมและคุณธรรม แต่เมื่อได้แรงถีบ แรงผลัก แรงหนุนส่งให้ได้กินตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี หรือตำแหน่งใดๆในวงอำนาจของฝ่ายบริหาร ก็ยังด้านทนเข้าไปรับตำแหน่งได้โดยไม่ยั้งคิด ทั้งๆ ที่รู้ตัวดีว่าสิ้นไร้คุณสมบัติอันเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ด้วยประการทั้งปวง แต่กลับด้านทนรับตำแหน่งอย่าง
น่าเวทนา
เมื่อคนไร้ความสามารถ ไร้คุณสมบัติของการเป็นนักการเมืองที่ดีได้เข้าไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี แต่บางคนก็ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จึงไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ แต่กลับกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศชาติอย่างร้ายแรง จนทำให้ชาติบ้านเมืองไม่พัฒนา จนกลายเป็นประเทศที่ก้าวไม่พ้นกับดักรายได้ปานกลาง แล้วก็พบว่ารัฐมนตรีบางรายตะกายวิ่งหาเก้าอี้รัฐมนตรีอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ยอมที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในกระทรวงใดก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งๆที่ตนเองไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมและไร้ความสามารถ เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีในความคิดของคนจำพวกตะกายหาอำนาจรัฐเป็นแค่เพียงเครื่องมือที่ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล และเป็นเครื่องต่อรองอำนาจการเมืองระหว่างกลุ่มนักเลือกตั้งและนักธุรกิจการเมือง คนพรรค์อย่างนี้ไม่สนใจประสิทธิภาพของการทำงานในฐานะฝ่ายบริหาร แต่สนใจเพียงอย่างเดียวคือจะมีผลประโยชน์ใดตกใส่กระเพาะของตน
ขอให้ทุกคนพิจารณาจากรายชื่อของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ล่าสุดที่กำลังจะปรากฏต่อสายตาสาธารณชน แล้วจะได้พบความจริงว่ายังคงมีทายาท (อสูร) การเมืองไทยตะเกียกตะกายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในคณะรัฐมนตรีเหมือนดังเดิม ไม่ว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่มีวันที่ทายาท (อสูร) การเมืองไทยจะดับสิ้นสูญสลายไปจากเวทีอำนาจรัฐของไทย และยิ่งนับว่าจำนวนทายาท (อสูร) การเมืองไทยก็จะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น เพราะงบประมาณแผ่นดินเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นสิ่ง
มีชีวิตที่ไร้ความละอายเหล่านี้ก็จะยิ่งตะกายเข้าไปสู่เวทีและวงจรอำนาจรัฐมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นแหล่งเดียวที่มีทรัพยากรและเงินทองมูลค่ามหาศาลให้สูบกินได้เป็นประจำทุกปี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี