ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยมาตรการด้านความปลอดภัย และการเว้นระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing) ทำให้สถาบันการศึกษาเกือบทั่วโลก ต้องตัดสินใจเลื่อนการเปิดภาคเรียนของนักเรียนออกไป ในระหว่างนั้นเองบางประเทศได้นำกระบวนการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์เข้ามาใช้ เพื่อสร้างความต่อเนื่องในด้านการเรียนรู้ของสาระวิชาต่างๆ และอาจเป็นไปได้ถึงการประเมินศักยภาพของการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์นี้ ต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เพื่อนำไปสังเคราะห์เป็นยุทธศาสตร์ทางด้านการศึกษา ทั้งในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส และการตอบรับกับอนาคตของการเรียนการสอนในภายภาคหน้าต่อไป
สำหรับรัฐบาลของประเทศไทย ก็มีนโยบายในเรื่องดังกล่าวนี้ออกมาเช่นกัน หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการเลื่อนวันเปิดเทอมของนักเรียนไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถให้โรงเรียนทำการเรียนการสอนได้หรือไม่ เมื่อถึงวันเปิดเทอมที่กำหนดไว้ เพราะต้องรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ร่วมด้วยมาตรการจากทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขก่อน ดังนั้น ในวันเปิดเทอมก่อนหน้านี้ นั่นคือวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ทางกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงได้ทำการทดลองรูปแบบการเรียนการสอนทั้งออนไลน์ และออนทีวีขึ้นมา โดยอิงกับรูปแบบของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเพิ่มเติมด้วยสื่อออนไลน์สำหรับการเรียนการสอนสมัยใหม่ที่ได้รับการจัดทำขึ้นตามแต่โรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ กำหนด
ในช่วงเวลาของการทดลองนี้เอง ที่ทำให้เราได้ทราบถึงสภาพของความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างชัดเจน เมื่อนักเรียนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษารูปแบบใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาดสัญญาณอินเตอร์เนต ปัญหาเรื่องการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ ความเสถียรของสัญญาณการถ่ายทอดแพร่ภาพ เป็นต้น
มีรายงานการวิจัยค้นพบว่า การที่นักเรียนสามารถเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เนตที่เสถียร และอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ ช่วยให้การเรียนรู้ของนักเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกว่าการเรียนในชั้นเรียนเท่านั้น เนื่องจากสามารถแบ่งข้อมูลต่างๆ จากอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้อย่างสะดวก ที่สำคัญ ระบบการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนไม่เท่ากัน สำหรับคนที่เรียนรู้ได้ไม่เร็วนัก ก็จะสามารถย้อนกลับไปทวนซ้ำในเนื้อหาสาระที่ยังไม่เข้าใจได้อย่างสะดวก ส่วนคนที่เข้าใจบางส่วนของเนื้อหาดีอยู่แล้ว ก็จะสามารถข้ามในประเด็นนั้นของการสอนไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้น การบริหารจัดการจากทางภาครัฐในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นสำคัญ และต้องทำด้วยความเข้าใจในวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง อาทิ การจัดทำห้องเรียนชุมชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของนักเรียนในการเข้าถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนออนไลน์ และสัญญาณอินเตอร์เนต และที่ต้องไม่ลืมก็คือ เรื่องของคุณภาพของครูต่อการเรียนการสอนออนไลน์ เพราะครูที่มีศักยภาพสูงในรูปแบบการสอนของออนไลน์นั้น จะสามารถทำให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันได้มากกว่าครูที่ขาดความชำนาญเฉพาะในการเรียนการสอนแบบใหม่นี้
สำหรับสถานการณ์ด้านการศึกษาทั่วโลกในตอนนี้ ในบางประเทศที่เริ่มคลี่คลายจากอัตราการระบาดของไวรัสที่ลดจำนวนลง ก็เริ่มที่จะเดินเครื่องทางเศรษฐกิจ และทำการเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนกันแล้ว อาทิ ประเทศเดนมาร์กประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ และล่าสุดก็ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก็มีมาตรการในการป้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสในโรงเรียนคอยกำกับอย่างเข้มข้น กระนั้นก็ยังมีแนวคิดในเรื่องของการเรียนการสอนออนไลน์สลับกับการเรียนการสอนในชั้นเรียนปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกับการดำเนินชีวิตแบบปกติใหม่ (New Normal) ที่ยังคงต้องพึ่งพาการเว้นระยะห่างทางกายภาพ เพื่อลดความแออัดในพื้นที่ต่างๆ จนกว่าไวรัสโควิด-19 จะหายไปเองตามธรรมชาติ หรือไม่ทำอันตรายใดๆ แก่ผู้ติดเชื้อ รวมไปถึงการมีวัคซีนหรือยารักษาที่เห็นผล ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ จะมีอิทธิพลต่อระบบการศึกษาของโลกนี้อย่างไร
ก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับโลกใบนี้ มีการลงทุนด้านการศึกษาในรูปแบบออนไลน์ที่มีอัตราความเติบโตสูง ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นในด้านภาษา การติวออนไลน์สื่อประชุมออนไลน์ หรือแม้แต่สื่อการเรียนการสอน ซึ่งมีมูลค่าในตลาดโลกมากถึง 18.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี2019 (2562) และมีการคาดการณ์กันว่า จะทะยานสูงขึ้นไปถึง 350 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 (2568) และแน่นอนว่า เมื่อมีการเข้ามาของไวรัสโควิด-19 การใช้งานในแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์เหล่านี้ก็มีความนิยมจากผู้ใช้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เสน่ห์ที่สำคัญของระบบการศึกษาออนไลน์ในรูปแบบของเอกชนลงทุน อย่างหนึ่งก็คือ บางแพลตฟอร์มทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น BYJU’S แอพพลิเคชั่นการเรียนการสอนออนไลน์ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นทางการศึกษาที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกตอนนี้ และตั้งแต่เปิดการเรียนการสอนผ่านการถ่ายทอดสดทางแอพพลิเคชั่น มีจำนวนการเข้าเป็นสมาชิก (User) เพิ่มมากขึ้นถึง 200% ทางด้านประเทศจีน ก็มีแอพพลิเคชั่นอย่าง Tencent Classroom ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานในเวลาเดียวกันถึง 730,000 คน หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศให้นักเรียนทุกคนในประเทศทำการเรียนการสอนผ่านช่องทางออนไลน์ และที่น่าสนใจก็คือ การที่บริษัทด้านการพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ กำลังมุ่งหน้ายกระดับขีดความสามารถของการเรียนรู้ออนไลน์ ด้วยการสร้าง One Stop Shop (การบริการแบบครบวงจร) สำหรับครู และนักเรียน อาทิ สิงคโปร์ มีแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Lark ที่ให้ครูและนักเรียนสามารถประชุมกันผ่าน Video Conference ได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง มีความสามารถในการแปลภาษาอัตโนมัติ มีการแก้ไขงานผ่านไฟล์ร่วมกัน มีการจัดการวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนเป็นต้น นี่คือวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าของระบบการศึกษาในรูปแบบออนไลน์
ส่วนในระดับของอุดมศึกษาทั่วโลกก็มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มที่จะเปิดการเรียนการสอนหลักสูตรออนไลน์มาก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส และได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของการเข้าถึงอุปกรณ์การใช้งาน และความพร้อมของระบบสัญญาณอินเตอร์เนต ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งผู้ที่มีความเกี่ยวข้องก็รับทราบ และทำการแก้ไขปัญหาและพัฒนาความพร้อมของระบบการศึกษาสมัยใหม่มาอย่างต่อเนื่อง นี่เองที่บอกกับเราว่า ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น ที่ประสบกับปัญหาการเข้าถึงการศึกษาที่เหลื่อมล้ำกันของนักเรียนในระบบการเรียนการสอนออนไลน์ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างอินโดนีเซีย มีข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) บอกว่า นักเรียนของเขาสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์สำหรับทำการบ้านได้เพียง 34% เท่านั้น ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสวิตเซอร์แลนด์นอร์เวย์ หรือออสเตรีย นักเรียนสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทำการบ้านได้มากถึงร้อยละ 95 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดในประเทศ
ท้ายที่สุด เราคงต้องมาคิดกันต่อไปว่า การพัฒนาศักยภาพทางด้านการศึกษาของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ตามนโยบายเพื่ออนาคต หรือเพราะมีปัจจัยใดๆ มากระทบหรือบีบคั้นให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม สิ่งที่เราต้องให้น้ำหนักเป็นสำคัญก็คือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งควรต้องมาก่อนความจำเป็นเรื่องอื่นใด เพราะการศึกษาในรูปแบบใดๆ ก็ตาม จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ ถ้านักเรียนทุกคนไม่สามารถได้รับการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น นี่คือความใส่ใจที่หน่วยงานด้านการศึกษาทั่วโลกต้องไม่ลืม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี