ถ้าสื่อสารกันแบบตรงไปตรงมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การให้บริการทางเพศในประเทศไทย เป็นเรื่องที่ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ปากว่าตาขยิบ” เพราะตามหลักของกฎหมายไทยแล้ว เป็นเรื่องต้องห้าม ทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย และมีบทลงโทษกำหนดเอาไว้อย่างละเอียด แต่ประชาชนคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องนี้อย่างซื่อตรงนัก และนำข้ออ้างหรือเหตุผลสารพัดมาบำบัดการมองเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่สามารถกระทำได้ ภายใต้กรอบการรับรู้ทางกฎหมายที่เจือจางความเข้มข้นลง จนถึงการมิได้ให้ความสำคัญในอย่างที่ควรต้องเป็น ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
อย่างที่ทราบกันว่า อาชีพค้าบริการทางเพศนั้น มีความสุ่มเสี่ยงต่อทัศนคติทางเพศในแบบเลือกปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อพนักงานที่ปฏิบัติอาชีพนี้ต้องทำงานในรูปแบบนอกกฎหมายด้วยแล้ว การคุกคามในรูปแบบต่างๆ จากลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง รวมไปถึงการข่มขู่จากเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายในการได้มาซึ่งข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง นี่เองจึงเป็นชนวนหนึ่งในการสร้างความรุนแรงทางเพศ และนำไปสู่การก่ออาชญากรรมร้ายแรงตามมา ดังนั้นถ้าไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายในแบบที่ควรจะเป็นได้ ก็ไม่ควรเปิดช่องว่างของกฎหมายให้กลายเป็นเครื่องมือในการทำอันตรายต่อคนที่ทำผิดกฎหมายจากการค้าประเวณี ซึ่งแทนที่จะได้รับการลงโทษตามบทบัญญัติที่กำหนดเอาไว้ตามกฎหมาย กลับต้องเป็นเหยื่อในการถูกข่มขู่และรุกรานสิทธิและเสรีภาพ ทั้งจากผู้ที่มาใช้บริการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีโอกาสอันเอื้ออำนวยให้เกิดกรณีเช่นนี้อยู่ในอัตราที่สูงมาก
นอกเหนือจากนั้น เมื่อมองไปยังกลุ่มทุนที่ประกอบธุรกิจการค้าบริการทางเพศ ลึกลงไปภายใต้การบริหารจัดการที่เกิดขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงรับรู้กันดี ลำพังแค่นักธุรกิจและเงินในการลงทุนก็คงไม่สามารถประกอบกิจการที่ขัดต่อกฎหมายเช่นนี้ได้อย่างเป็นปกติ และนี้เองที่นำไปสู่เครือข่ายการเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจและอำนาจระหว่างกัน หรือที่เรียกกันภาษาบ้านๆ ว่า การคอร์รัปชั่นของผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ทำให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และในทางที่เลวร้ายรูปแบบกระบวนการสมประโยชน์กันแบบนี้อาจนำไปสู่การก่อความผิดร่วมกันในรูปแบบอื่นๆ เพื่อการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องการได้
และที่สำคัญมากๆ ก็คือ เรื่องของคุณภาพชีวิตสำหรับผู้มีอาชีพให้บริการทางเพศ ซึ่งนอกจากความเสี่ยงในเรื่องของการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการเป็นเหยื่อของอาชญากรรมแล้ว ในเรื่องของความเป็นอยู่ สุขภาพร่างกาย และความมั่นคงในชีวิต ตรงนี้ได้มีการบริหารจัดการกันหรือไม่ เพราะเมื่ออาชีพนี้เป็นเสมือนคนนอกกฎหมาย สวัสดิการต่างๆ ที่แรงงาน หรือคนทำงานพึงจะได้ก็จะถูกละเลย รวมไปถึงความปลอดภัยทางด้านสุขภาพร่างกาย ที่อาจเป็นปัญหาตามมาต่อผู้มาใช้บริการนั้น ซึ่งก็ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีความน่าเชื่อถือขนาดไหน อีกทั้งพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่ได้รับการควบคุม หรือการบริหารจัดการที่ดีจากต้นสังกัดที่อาจไปสร้างปัญหาหรืออันตรายต่อลูกค้า นี่จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาเปิดใจคุยกันเสียทีว่า อยากให้ปัญหาเช่นนี้ของอาชีพให้บริการทางเพศหมดไปหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะไปสนับสนุนให้ใครออกมาขายบริการทางเพศอย่างที่คนส่วนหนึ่งเข้าใจ เพราะกฎหมายที่ดีต้องบังคับใช้ได้
แต่ถ้ากฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ ก็ควรต้องสังคายนาหลักกฎหมายนั้นกันเสียใหม่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการโดยสมบูรณ์ และไม่ถูกบิดเบือนเจตนารมณ์ของการได้มาซึ่งการพิจารณากฎหมายนั้นออกมาบังคับใช้ ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการสนับสนุนให้ผู้มีอาชีพบริการทางเพศเข้ามาอยู่ในระบบของกฎหมาย ด้วยการกำหนดระเบียบที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัย สวัสดิการ และการเสียภาษี เป็นต้น ซึ่งโดยส่วนตัวก็มองว่า น่าจะเป็นทางออกของปัญหาในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความปลอดภัยของผู้มีอาชีพให้บริการทางเพศตามแบบสากลปฏิบัติ
โดยทั่วโลกมีผู้ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศมากกว่า 13 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 6 ล้านล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งหลายประเทศที่สามารถบริหารจัดการเรื่องนี้จนกลายเป็นอาชีพที่อยู่ในระบบของกฎหมายที่เหมาะสมได้นอกจากสถิติด้านอาชญากรรม และความรุนแรงทางเพศที่ลดลงแล้ว ระบบเศรษฐกิจก็ได้รับอานิสงส์จากบริการด้านนี้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนสามารถยกระดับรายรับจากภาษีในการส่งเข้ารัฐได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นก็ไปสร้างคุณภาพชีวิตที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ประกอบอาชีพนี้ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างโปร่งใส และเพื่อให้มองเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น จึงขอนำรูปแบบในการบริหารจัดการของประเทศต่างๆ สำหรับการให้อาชีพบริการทางเพศเข้ามาอยู่ในระบบกฎหมายที่เหมาะสม ดังนี้
คงต้องเริ่มต้นที่ “เนเธอร์แลนด์”ซึ่งกลายเป็นประเทศที่มีการอนุญาตให้ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศได้อย่างถูกกฎหมาย ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2000 โดยมีกรอบว่าจะต้องมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป และผู้ประกอบการต้องขึ้นทะเบียน และขอใบอนุญาตในการประกอบการอย่างถูกต้อง โดยกำหนดให้ผู้มาใช้บริการต้องอายุมากกว่า 16 ปี และห้ามถ่ายรูป(บริเวณตู้โชว์) ที่สำคัญ การประกอบกิจการเช่นนี้ต้องจ่ายภาษีเข้ารัฐในอัตราพิเศษ และมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานการให้บริการทางเพศขึ้นที่นี่ เพื่อบริหารจัดการในเรื่องสิทธิต่างๆ ที่พวกเขาควรจะได้รับ ที่ “เยอรมนี” ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศ ซึ่งมีการบริหารจัดการที่ดีต่ออาชีพการให้บริการทางเพศ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่เรื่องของสวัสดิการ การออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิ และการจัดหาสหกรณ์ในการรวมกลุ่มทั้งแรงงาน นายหน้า และผู้ประกอบการ จนกลายเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล ด้วยจำนวนแรงงานในด้านนี้กว่า 4 แสนคน และรายได้กว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี
ส่วน “เดนมาร์ก” ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ เพราะอาชีพการให้บริการทางเพศได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลอย่างเต็มที่ และมีการช่วยเหลือผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือพิการ ทั้งที่เป็นผู้ใช้บริการ หรือผู้ให้บริการ ให้สามารถเข้าถึงบริการตรงนี้ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับคนให้บริการที่พิการก็จะสามารถตั้งราคาค่าบริการที่สูงกว่าคนปกติทั่วไปได้ รวมไปถึงการมีองค์กรภาคเอกชนช่วยเหลือสำหรับผู้ให้บริการทางเพศที่ไม่มีสังกัด ด้าน “สวิตเซอร์แลนด์”ก็มีการถกเถียงในเรื่องนี้กันพอสมควร และได้กำหนดกรอบกฎหมายที่เหมาะสมเอาไว้ ตั้งแต่การลงทะเบียน การวางโซนนิ่งหรือพื้นที่ในการให้บริการทางเพศ รวมไปถึงการจำกัดอายุและเชื้อชาติสำหรับผู้ให้บริการ
ปิดท้ายด้วย “สวีเดน” ประเทศแรกที่ผู้ซื้อบริการแบบผิดกฎหมายมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี แต่ผู้ค้าบริการไม่มีโทษความผิดใด ซึ่งหลายประเทศในยุโรปก็เริ่มหันมาใช้กฎหมายแบบเดียวกันนี้ไม่ว่าจะเป็น นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ และแคนาดา แม้จะมีการถกกันว่า การทำให้ถูกต้องสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขายแบบเยอรมนี หรือ สวิตเซอร์แลนด์ จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ตาม แต่รูปแบบนี้ก็จะให้น้ำหนักไปที่กลุ่มผู้ค้าบริการทางเพศในเรื่องของการกำกับดูแลความปลอดภัยจากภาครัฐ และป้องปรามกลุ่มผู้ซื้อในประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายรวมไปถึงเป็นการแสดงออกอย่างกลายๆ ว่ารัฐไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องนี้ควบคู่ไปด้วย
สำหรับในประเทศไทยเอง จากการสำรวจมีคนที่ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศอยู่ประมาณ 2.5 แสน ถึง 2 ล้านคน(ปี 2558) แต่เนื่องจากไม่มีการลงทะเบียนจึงไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด นับว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่มีจำนวนสูงมาก ซึ่งกำลังเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การถูกคุกคามทางเพศรวมไปถึงความปลอดภัยในเรื่องสุขภาพ และความมั่นคงของชีวิต รวมไปถึงความฉ้อฉลจากการใช้อำนาจรัฐตามที่ได้สาธยายไปแล้ว คำถามก็คือ ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องมาจัดการเรื่องนี้กันแบบจริงจังเสียที ด้วยเป้าหมายที่พุ่งไปที่สิทธิ เสรีภาพ และความปลอดภัยในอาชีพของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม และเสมอภาค เพื่อทำให้ขยะที่ชื่อว่า “ช่องว่างทางกฎหมาย” ไม่ต้องอยู่ใต้พรมอีกต่อไปคนที่ให้บริการทางเพศจะได้ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของความสุ่มเสี่ยงใดๆ ภายใต้บริบทของการเป็นคนนอกกฎหมาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี