เมื่อวานวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติ 253 : 67 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 320 เสียง ให้ถอน ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่าง พ.ร.บ.“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ออกจากระเบียบวาระไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถเสนอกลับเข้าไปใหม่ได้ในการประชุมสภาฯสมัยหน้า
โดยต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า พรรคประชาชน 142 เสียงจากทั้งหมด 143 เสียง ไม่ยอมลงคะแนนเสียงในการลงมติครั้งนี้ เหมือนกับเล่นบท“ตีสองหน้า”ไม่กล้า“หัก”กับพรรคเพื่อไทย เพราะเจ้าของพรรคประชาชนตัวจริง คือ“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” มีสายสัมพันธ์กับ“ทักษิณ ชินวัตร” ส่วนอีก 1 เสียงของพรรคประชาชน คือ นางสาวกฤษดิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส. ชลบุรี ที่ประกาศยุติการทำกิจกรรมร่วมกับพรรคประชาชน ได้ลงมติให้พรรคเพื่อไทย โดยเห็นชอบกับการถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย ต้องตัดสินใจถอนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งถูกต่อต้านคัดค้านอย่างกว้างขวางจากประชาชนคนไทยทุกวงการมาตั้งแต่ต้น และมีกระแสข่าวหนาหูว่า มีการจ่ายเงินหลักพันล้านแลกกับการได้รับ“ใบอนุญาต”กาสิโน ที่ซุกไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ออกจากระเบียบวาระนั้น เหตุผลสำคัญของพรรคเพื่อไทยก็เพราะ กลัวว่าหากดันทุรังเดินหน้าต่อไป อาจะถูกคว่ำในการลงมติวาระแรกขั้นรับหลักการก็เป็นได้
ด้วยเหตุที่ เวลานี้ สส.ซีกรัฐบาล 11 พรรค มีเสียง“ปริ่มน้ำ”อยู่ 256 เสียง โดยมี“งูเห่า”สำรองอยู่อีก 5 เสียง รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็มีเพียง แค่ 261 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้าน 5 พรรค รวมทั้งพรรคภูมิใจ 69 เสียง มีถึง 234 เสียง
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงไม่กล้าเสี่ยง เพราะหากร่างกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ฉบับนี้ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ไม่ผ่านความเห็นชอบในวาระแรก ขั้นรับหลักการ รัฐบาลก็จะต้องประกาศยุบสภาฯ หรือไม่ก็ลาออก
ทั้งนี้เนื่องจาก แม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดว่า ถ้ากฎหมายเกี่ยวกับการเงินไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ รัฐบาลจะต้องยุบสภาฯหรือลาออกก็ดี แต่ก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องปฎิบัติ และในอดีตก็เคยมีมาแล้ว
เช่น ในปี 2487 สมัยรัฐบาล จอม ป.พิบูลสงคราม รัฐบาลของจอมพล ป. ได้เสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ ให้มีผลดำเนินการอย่างถาวรตลอดไป แต่ปรากฏว่า สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 เสียง เป็นผลทำให้ จอมพล ป.ต้องลาออกจากตำแหน่ง
และในปี 2529 สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ พล.อ.เปรม เลือกการยุบสภาฯ หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522, พ.ศ.2529 ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ ด้วยคะแนนเสียง 147 ต่อ 143 เสียง
สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ฉบับนี้นั้น เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมวานนี้ ก่อนที่ที่ประชุมจะมีมติให้รัฐบาลถอนร่างกฎหมายออกไปได้นั้น มีการปะทะกันเล็กน้อย ระหว่างพรรคเพื่อไทย คือนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลในการเสนอขอถอนร่างกฎหมาย กับ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย
เป็นการปะทะกัน ทั้งกรณีที่ฝ่ายพรรคภูมิใจถามถึงเหตุผลรัฐบาล ในการขอถอนร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกจากระเบียบวาระ และกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมวานนี้ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ประธานาธิบดี“สี จิ้นผิง”ของจีน เคยเตือน“แพทองธาร ชินวัตร”ถึง 3 ครั้ง ให้ยกเลิกนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ระหว่างการเจรจาหารือ เมื่อครั้งเดินทางไปเยือนจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การปะทะในสภาฯระหว่างนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กับนายภราดร ปริศนานันทกุล และนายไชยชนก ชิดชอบ ยังไม่เท่ากับคู่นอกสภาฯ ระหว่าง“อนุทิน ชาญวีรกูล” กับ“แพทองธาร ชินวัตร” ที่คู่นี้เปรียบเหมือน“มวยคนละชั้น ซึ่ง“แพทองธาร”นั้นเป็นมวยที่ไร้เชิง ยังอ่อนหัด ด้วยความที่ไร้สติปัญญาและขาดความรอบรู้ จึงแพ้ทาง“อนุทิน”ที่เหนือกว่าในทุกด้าน และสิ่งที่“อนุทิน”พูดนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ มากกว่าคำชี้แจงของ“แพทองธาร” ที่ใช้อารมณ์ของ“เด็กน้อย”มาโต้ตอบ
ในเฟซบุ๊ก“Anutin Charnvirakul” ที่“อนุทิน ชาญวีรกูล”เขียนโพสต์ไว้ และผู้สื่อข่าวนำมาถามเพื่อขอคำชี้แจงจาก“แพทองธาร ชินวัตร” จึงทำให้เกิดวิวาทะกันกลางอากาศ-ระบุว่า
“รัฐบาลทราบเป็นอย่างดีว่า จีนมีท่าทีไม่เห็นด้วย ที่ทางการไทยจะผ่านกฎหมายให้มีการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร พร้อมกับอนุญาตให้มีการเล่นการพนันได้ และได้มีการพูดตอกย้ำถึงสามครั้งในที่ประชุมระดับผู้นำของทั้งสองประเทศ ว่าขอให้ยกเลิกนโยบายนี้เสีย มิฉะนั้น รัฐบาลจีนมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการต่างๆ ที่จะทำให้คนจีนและกิจการต่างๆ ของจีน ปรับท่าทีต่อการท่องเที่ยว รวมไปถึงท่าทีต่อการค้าและการลงทุนกับไทยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ นี่คือการหารือในระดับผู้นำประเทศทั้งสอง คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร”
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังได้เขียนโพสต์ไว้ด้วยว่า “ซึ่งผมได้ร่วมประชุมอยู่ด้วย และได้จดบันทึกการประชุมในประเด็นนี้อย่างละเอียด ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ซึ่งจะต้องมีความเกี่ยวข้องเป็นอันมาก ต่อการดำเนินนโยบายนี้ แน่นอนว่าผู้นำจีนไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งการให้รัฐบาลไทยทำตามที่เขาต้องการ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ออกไปในทางเมินเฉย และไม่ให้ความสำคัญต่อความเห็นจากผู้นำของจีน ตลอดจนการดำเนินการผลักดันเร่งรัดให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร (กาสิโน) ได้รับการบรรจุอยู่ในวาระแรกของสมัยประชุมสภาฯนี้ ย่อมต้องเป็นสาเหตุหนึ่งของการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากจีนในปัจจุบันอย่างแน่นอน”
ในเรื่องนี้นั้น “แพทองธาร ชินวัตร”ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวว่า “ความจริงเวลาเอามาเล่าอีกรูปแบบหนึ่งก็ใส่สีตีไข่กันไป” พร้อมทั้งย้อนถามผู้สื่อข่าวแบบ“แดกดัน”ไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล เหมือนคุณหนูผู้เอาแต่ใจตัวเอง-ว่า
“อ้าว ! ท่านอดีต มท.1 ออกไปได้ไม่นาน ลืมซะแล้วว่าเหตุผลที่นักท่องเที่ยวจีนไม่มาเมืองไทย เพราะเรื่องความปลอดภัยหรือเปล่า เรื่องของความปลอดภัย เรื่องของมหาดไทย ที่เขาไม่เข้ามาเพราะเรื่องความปลอดภัย และความจริงแล้วตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงช่วงโลว์ซีซั่นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่เรามีนักท่องเที่ยวยุโรปเพิ่มมากขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ จีนลดลงเพราะมีมาตรการเที่ยวในประเทศ ความจริงมันมีปัญหาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องคอลเซ็นเตอร์ เรื่องตัดน้ำตัดไฟ พอจะตัดก็ตัดยาก ต้องสั่งแล้วสั่งอีก ไม่ทราบว่าได้จดไว้หรือเปล่า แต่ว่าจริงๆ แล้วเหตุผลที่นักท่องเที่ยวลดไม่ได้เป็นตามที่กล่าวอ้าง”
ส่วน“อนุทิน ชาญวีรกูล”พูดเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง หลังจากผู้สื่อข่าวนำคำชี้แจงของ“แพทองธาร ชินวัตร”ไปถาม โดยบอกว่า “ไม่เคยใส่สีตีไข่ มีแต่เรื่องที่เป็นข้อเท็จจริง” พร้อมทั้งยืนยันว่า “พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจร เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับในส่วนที่เป็นกาสิโนเท่านั้น ถ้าสถานบันเทิงครบวงจรยังจะเดินต่อไป ก็ยินดีที่จะให้การสนับสนุน ต่อให้เป็นฝ่ายค้านก็จะสนับสนุน”
เรื่องนี้เห็นทีว่า จะต้องพึ่งพาสำนักโพลให้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ว่าระหว่าง“แพทอง ธารชินวัตร”วัย 38 ปี นายกรัฐมนตรีผู้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะถูก 36 สว.ร้องว่า ไม่ซื่อสัตย์และมีพฤติกรรมผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กับ“อนุทิน ชาญวีรกูล”วัย 58 ปี ที่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปเป็นฝ่ายค้านอย่างองอาจกล้าหาญนั้น คำพูดของใครน่าเชื่อถือกว่ากัน
ถามไว้ตรงนี้เลยก็ได้ว่า ระหว่าง“แพทองธาร ชินวัตร” กับ“อนุทิน ชาญวีรกูล”นั้น ท่านจะเชื่อใคร ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี