องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ออกมาเปิดเผยข้อมูลในการเกิด “ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน” จากบุคคลที่ได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก (21 เม.ย.) ว่า บุคคลที่ได้รับวัคซีนจากแอสตราเซเนกา พบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหมด 287 ราย บุคคลที่ได้รับวัคซีนจากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน พบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหมด 8 ราย บุคคลที่ได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์ พบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหมด 25 ราย และบุคคลที่ได้รับวัคซีนจากโมเดอร์นา พบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหมด 5 ราย
แต่ EMA ก็ยืนยันว่า ประโยชน์ของวัคซีนโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง โดยอัตราของผู้ที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันนั้น มีอัตราน้อยมาก
เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งหมดทั่วโลก กระนั้น บางประเทศในยุโรปเองก็ได้ประกาศระงับการฉีดวัคซีนจากแอสตราเซเนกาเป็นการชั่วคราวไปแล้ว และมีคำแนะนำออกมาจาก EMA ว่า สำหรับวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็ควรมีคำเตือนเกี่ยวกับอาการลิ่มเลือดอุดตันระบุไว้ในเอกสารกำกับยาด้วย แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ทราบชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของอาการของผลข้างเคียงดังกล่าว
ในประเทศไทยเอง ก็มีความกังวลต่อผลข้างเคียงของวัคซีนซิโนแวคของจีน หลังจากมีการออกมาระบุอาการหลังฉีดว่า อาจทำให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์ชั่วขณะ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ในช่วงอายุที่แตกต่าง เป็นกลุ่มอ้างอิง
และถึงแม้ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 จะออกมาชี้แจงว่า “ทุกท่านมีอาการดีขึ้น โดยอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่โรคอัมพฤกษ์ แต่เป็นอาการคล้าย
อัมพฤกษ์ โดยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชา ประสาทสัมผัสไม่รู้สึก ซึ่งทุกท่านมีอาการฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว” แต่ความกังวลของประชาชนย่อมเกิดขึ้นต่อสถานการณ์ดังกล่าว จนกลายเป็นความกลัวต่อการเข้ารับการฉีดวัคซีนที่ทางรัฐบาล ผ่านกระทรวงสาธารณสุข กำลังทำการประชาสัมพันธ์อยู่ในตอนนี้
อันที่จริง ประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีน ในระดับโลกก็มีเกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่การเปิดตัววัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ และไบออนเทค และวัคซีน
ของบริษัทไบโอเทคโนโลยี โมเดอร์นา ที่กำเนิดมาจากการผลิตด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่mRNA ซึ่งเป็นวัคซีนสองบริษัทแรกที่เริ่มทำการฉีดให้กับประชาชนในสหรัฐอเมริกา และในยุโรปบางประเทศ ซึ่งทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ก็ได้รับทราบถึงผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ และได้ออกประกาศคำอธิบาย และ ข้อแนะนำออกมา ว่าผลข้างเคียงเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ อาทิ อาการปวด และเป็นไข้ และนิยามอาการดังกล่าวว่า “เป็นการอักเสบที่ควบคุมได้” ซึ่งสามารถระงับด้วยยาแก้ปวด หรือนำผ้าเย็นมาวางบริเวณจุดที่ถูกฉีดยาลงไป แต่ทาง CDC ก็เตือนว่า การใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการ อาจทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันไวรัสของวัคซีนลดลง
นอกจากนั้น ในผู้ได้รับวัคซีนบางรายก็มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งทางสำนักงานยาแห่งนอร์เวย์ (NMA) ก็ได้ทำการสอบสวนร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ และไบออนเทค จนได้ข้อสรุปว่า อาการที่ไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยจากการรับวัคซีนชนิด mRNA เช่น อาการไข้ และวิงเวียน อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยในกลุ่มอ่อนแอบางรายได้ดังนั้น แพทย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าใครควรได้รับวัคซีน และสำหรับผู้ป่วยที่อ่อนแอมาก รวมไปถึงผู้ป่วยในระยะสุดท้ายขอแนะนำให้พิจารณาความสมดุลระหว่างผลดีกับผลเสียของการฉีดวัคซีนอย่างระมัดระวัง
แต่ถึงแม้จะมีข้อมูลด้านลบออกมาเกี่ยวกับผลข้างเคียงอันร้ายแรงของการฉีดวัคซีนเพียงใด การปรากฏตัวของบรรดาผู้นำรัฐบาลของประเทศต่างๆ รวมไปถึงบุคคลสำคัญ ในการเข้ารับการฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปลายปี 2020 มาจนถึงต้นปี 2021 ก็ได้สร้างความมั่นใจให้กับทั่วโลก รวมไปถึงการร่วมสร้างแคมเปญแห่งความหวัง จากเหล่าองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของโลกใบนี้ ที่พุ่งเป้าไปที่การให้ความสำคัญต่อการฉีดวัคซีน ว่าเป็นแสงสว่างของวิกฤติไวรัสโควิดอย่างแท้จริง ก็ได้ทำให้โลกมีความเชื่อใจ และมองว่าวัคซีนคือหัวใจในการออกจากความสูญเสียทั้งทางสุขภาพ และเศรษฐกิจ และจะพาเราก้าวไปสู่ความเป็นปกติสุขโดยเร็ว
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้ข่าวสารของการถือครองวัคซีนกลายเป็นประเด็นที่ปรากฏขึ้นบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างหนาตา และเป้าหมายจำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนในปีนี้ (2021) ก็กลายเป็นประเด็นที่ผู้นำประเทศทั่วโลกจะออกแถลงการณ์สื่อสารกับประชาชนในประเทศของเขา บางประเทศก็ให้ความสำคัญมากถึงขนาดบรรจุเข้าไปเป็นนโยบาย อย่าง “นายโจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็บรรจุวาระการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนเป็นนโยบายที่ต้องทำทันทีใน 100 วัน หลังการรับตำแหน่งไว้ด้วย
และเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ยังจูงใจประชาชนของเขาด้วยการประกาศลดหย่อนภาษีให้ผู้ประกอบการบางรายที่อนุญาตให้พนักงานลาหยุด เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19โดยยังได้รับค่าจ้าง เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนในการระดมฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้มากขึ้นด้วย
เช่นเดียวกับที่ประเทศอังกฤษ แม้ว่าในตอนต้น นายกรัฐมนตรี “นายบอริส จอห์นสัน” อาจเดินหมากในการป้องกันการแพร่ระบาดผิดทางไปบ้าง จนทำให้อัตราการติดเชื้อขยับสูงลิบ เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ล้มเหลว แต่การบริหารจัดการเรื่องวัคซีนก็กลายมาเป็นข้อชื่นชมในความเป็นผู้นำของเขาได้ เมื่อสามารถสร้างความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้จำนวนการติดเชื้อลดลง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดลดความเข้มข้น ประชาชนออกมาใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติ และเตรียมวางแผนสู่การเปิดประเทศต่อไป
อีกหลายประเทศก็ไม่ต่างจากอเมริกา และอังกฤษ ที่กำลังเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จจากการฉีดวัคซีน โดยมีอิสราเอล และภูฏาน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ณ ตอนนี้ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่า วัคซีนจะยังคงเป็นทางออกจากวิกฤติไวรัสที่ดีที่สุดในตอนนี้ และประสิทธิภาพสูงสุดของวัคซีนจะเกิดไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่สามารถได้รับวัคซีนในจำนวนอันเหมาะสม ต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ หรือโลก ดังนั้น ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งความเชื่อมั่นตรงนั้นจะเกิดไม่ได้ ถ้าประชาชนขาดความไว้วางใจในการบริหารจัดการของรัฐ ต่อแนวทางในการควบคุมไวรัส (สุขภาพและเศรษฐกิจ) รวมไปถึงกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับวัคซีน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี