ในที่สุด กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 หรือชื่อที่เป็นทางการ คือ กีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 หรือ “โตเกียว 2020” ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้านสุขภาพของพลเมืองในประเทศซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้นำเสนอบทความ “โตเกียวโอลิมปิก 2020สู่ภารกิจเปิดประเทศ” เอาไว้ ว่าด้วยพันธกิจของญี่ปุ่นต่อการเดินหน้าจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในสถานการณ์ที่ไวรัสโควิด-19 ยังระบาดหนักในประเทศเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และคนทั่วไป ในการเปิดระบบของเศรษฐกิจให้กลับมาทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง หลังการจัดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนี้สามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ในความหมายของ “ความราบรื่น”ที่ว่านั้น สำหรับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูง จึงมิได้หมายถึง“การติดเชื้อเป็นศูนย์” แต่เป็นการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดอย่างเต็มรูปแบบในหมู่นักกีฬากว่า 22,000 คน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องในแต่ละทีม เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ที่ตั้งใจเอาไว้ประสบความสำเร็จ ตามที่“นายทีโดรส อัดฮานอม กรีเบรเยซุส”ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO)ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“ญี่ปุ่นได้มอบความกล้าให้คนทั่วโลก ขอแสดงความเคารพในเรื่องนี้และขอแสดงความเคารพต่อนายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูกะ และชาวญี่ปุ่นทุกคน ในการจัดโตเกียว 2020 เพื่อให้ความหวังกับผู้คนทั่วโลก โอลิมปิกเกมสามารถนำคนทั่วโลกมารวมกัน และทำให้คนทั่วโลกเกิดความสนใจร่วมกัน สถานการณ์โรคระบาด เป็นเรื่องที่ทำลายสังคม และเศรษฐกิจยิ่งโรคระบาดอยู่นานสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งแย่ลงทั้งการกลายพันธุ์ก็จะมีมากขึ้น และรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า แม้แต่ในที่ที่สถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ในที่อื่นทั่วโลกสถานการณ์ยังแย่อยู่ และตราบใดที่โรคระบาดยังไม่หายไป ไม่มีทางที่เราจะปลอดภัย การที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องง่าย หากแต่เราเชื่อมั่น และหวังว่ามาตรการต่างๆ ที่ทั้ง IOC (International Olympic Committee) และญี่ปุ่น วางแผนร่วมกันมาอย่างดี จะได้ผล ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นความเสี่ยง ซึ่งการตัดสินใจของเรา ถ้าไม่เพิ่มก็ลดความเสี่ยง แต่ไม่มีทางทำให้ความเสี่ยงหายไปได้ และเราไม่สามารถทำให้การติดเชื้อเป็นศูนย์ได้”
คำถามที่ตามมาก็คือ ญี่ปุ่น และทีมงานโอลิมปิก จะทำอย่างไรให้การแข่งขันกีฬาที่มีคนจำนวนมากมารวมกัน ในสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างรุนแรง สามารถควบคุมการติดเชื้อ และการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่การแข่งขันต่างๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น จวบจนวันสุดท้ายของโอลิมปิกครั้งนี้ คือ 8 สิงหาคม 2021
ก็ต้องเริ่มกันที่ หนังสือคู่มือ (Handbook) สำหรับบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของโอลิมปิกครั้งนี้ทุกคน ซึ่งมีความหนากว่า 70 หน้า เกี่ยวกับข้อมูลการปฏิบัติตัวกระบวนการคัดกรอง การดำเนินการเมื่อเจอคนติดเชื้อ และระเบียบการลงโทษสำหรับบุคคลที่ฝ่าฝืน ที่อธิบายแบบละเอียดยิบ ซึ่งแน่นอนว่า มีเสียงบ่นออกมาถึงความซับซ้อนของกระบวนการต่างๆ ที่ใช้เวลานาน แต่ทางฝ่ายปฏิบัติก็ให้เหตุผลในเรื่องของความปลอดภัยต้องมาก่อน ซึ่งความช้าแต่ชัวร์ที่ว่านี้ ก็เห็นผลแล้วตั้งแต่การคัดกรองผู้เข้าร่วมโอลิมปิกจากชาติต่างๆ ที่สนามบิน และสามารถตรวจแยกผู้ติดเชื้อไปทำการกักตัวและตรวจผลอย่างละเอียดได้หลายราย
ที่น่าสนใจก็คือ ญี่ปุ่นยอมตัดผู้ชมออกจากทุกสนามแข่งขัน แม้แต่คนญี่ปุ่นเองแม้ต้องแลกด้วยการแบกค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันครั้งนี้เกือบ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (6.4 แสนล้านบาท) เอาไว้เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า การแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับโลก นอกเหนือไปจากการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวตามปณิธานสากลแล้ว ประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว คืออีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญ ซึ่งโตเกียว 2020 ครั้งนี้ น่าจะมีก็เพียงเงินอุดหนุนจาก IOC และรายได้จากสปอนเซอร์ที่ให้การสนับสนุน รวมไปถึงค่าลิขสิทธิ์สำหรับการถ่ายทอดสดเท่านั้นซึ่งถ้ามองกันในแง่เศรษฐศาสตร์แล้วก็ถือว่าเสี่ยงในแง่ผลลัพธ์ ถ้า “ความเชื่อมั่นที่ต้องการ” ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้จริง
ส่วนข้อปฏิบัติอื่นๆ สำหรับนักกีฬา และทีมงาน ก็อยู่ในความเด็ดขาด อาทิ ห้ามออกจากหมู่บ้านนักกีฬาไปเที่ยวในกรุงโตเกียว หรือสัมผัสกับชีวิตกลางคืน ห้ามจัดงานเลี้ยงหรือฉลองภายในหมู่บ้านนักกีฬา หลีกเลี่ยงการกอด ตีมือ หรือจับมือต้องทานข้าวคนเดียว หรือเว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 6 ฟุต นักกีฬาชาติต่างๆ เมื่อแข่งขันโปรแกรมของตัวเองจบแล้ว ต้องเดินทางออกจากญี่ปุ่นภายใน 48 ชั่วโมง (เห็นได้จากกรณีน้องเทนนิสเรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจนักเทควันโดหญิงเหรียญทองทีมชาติไทย ซึ่งกลับมาปรากฏตัวที่จังหวัดภูเก็ตอย่างรวดเร็ว) และพยายามเลี่ยงการติดต่อกับนักกีฬาชาติอื่นๆ ในหมู่บ้านนักกีฬาให้น้อยที่สุด เป็นต้น และที่สำคัญ นักกีฬาต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นตอนแข่งขัน ฝึกซ้อม ทานข้าว ดื่มน้ำ และนอนเท่านั้น ช่วงพิธีรับเหรียญรางวัล หรืออยู่ในหมู่บ้านนักกีฬา ก็ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ส่วนทีมงานสวมหน้ากาก 100% สำหรับการตรวจหาเชื้อ “ไบรอัน แม็คคลอสกีย์”ประธานคณะกรรมการฝ่ายแพทย์ของโอลิมปิก เปิดเผยว่า จะมีการตรวจหาเชื้อตลอดช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการแข่งขันกว่า 100,000 ครั้ง โดยนักกีฬาจะต้องตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง และเมื่อเดินทางถึง เพื่อการันตีว่าปลอดโควิดก่อนเข้าสู่พื้นที่ควบคุม เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่นแล้ว นักกีฬา และเจ้าหน้าที่ทุกคน ต้องรับการตรวจหาโควิดทุกวันโดยกำหนดเวลาสวอบแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโปรแกรมการซ้อม หรือการแข่งขันของแต่ละคน ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเช้าหรือเย็น โดยตรวจที่หมู่บ้านนักกีฬาและสนามแข่งขัน โดยจะมีห้องแยกตรวจแบบรายบุคคล นักกีฬาทุกคนมีบาร์โค้ดเพื่อใช้ระบุตัวตนและแยกตัวอย่างสารคัดหลั่งที่นำไปตรวจ ผลการตรวจจะออกมาภายในไม่ถึง 12 ชั่วโมงนอกจากนักกีฬา และเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าหน้าที่ประจำการแข่งขัน และคณะกรรมการโอลิมปิกชาติต่างๆ กรรมการอาสาสมัคร รวมถึงสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่ต้องใกล้ชิดกับนักกีฬา ต่างต้องเข้ารับการตรวจเชื้อทุกวันเช่นกัน
นี่แค่ส่วนหนึ่งของกติกาที่ทางญี่ปุ่นมีไว้สร้างความราบรื่นในการจัดการแข่งขันโอลิมปิกแบบปิดครั้งนี้ กระนั้น ภายใต้ความเข้มข้นของมาตรการป้องกันการติดเชื้อ และแพร่ระบาดของมหกรรมเกมกีฬาแห่งมนุษยชาติหนนี้ก็มีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ญี่ปุ่นพยายามสื่อสารออกมา และทำให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความทรงจำบางอย่างร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการใช้ “มังงะ” (การ์ตูนญี่ปุ่น)และการนำตัวละครในเกมยอดฮิตของคนทั่วโลกอย่าง “มาริโอ” มาเป็นสีสันในพิธีเปิดของโอลิมปิกครั้งนี้ รวมไปถึงการบรรเลงเพลงประกอบของเกมต่างๆ ที่โด่งดังในอดีต
และที่ชอบส่วนตัวเป็นพิเศษ คือ การแสดงประกอบเลียนแบบ“Pictogram” จากคู่หูนักแสดงตลกเงียบชาวญี่ปุ่นนามว่า GABEZ ที่แสดงท่าทางตามประเภทกีฬากว่า 50 ชนิด ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งเชื่อว่า เรียกรอยยิ้มจากคนที่รับชมอยู่ทั่วโลกได้อย่างน่าชื่นชม ที่สำคัญ สัญลักษณ์Pictograms นั้น ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อ 57 ปีที่แล้ว คือ โอลิมปิกในปี1964 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ และครั้งนี้“Masaaki Hiromura” กราฟิกดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น ออกแบบ สัญลักษณ์ Pictograms ทั้ง 33 ชนิดกีฬาใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างความเป็นสากล และเติมชีวิตให้กับสัญลักษณ์เหล่านั้น เพื่อผลลัพธ์ทางความรู้สึกสำหรับทุกคน
ทั้งหมดนี้จะเป็นกุญแจเปิดให้ “ประเทศญี่ปุ่น” กลับไปเป็นหมุดหมายปลายทางสำหรับผู้คนทั่วโลกได้เหมือนเดิมหรือไม่นั้น คงไม่มีใครตอบได้ แต่เมื่อเห็นความพยายาม และความตั้งใจก็คงบอกได้เพียงประโยคเดียวว่า “itsumoouenshiteruyo! ganbattebe!” (จะเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี