เชื่อว่าเจ้าของสุนัขหลายท่านคงเคยประสบปัญหา “สุนัขตัวร้อน มีไข้” บางท่านอาจไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เอายาคนให้กิน คนที่เอาใจใส่หน่อยก็พาไปพบคุณหมอตั้งแต่เนิ่นๆ
เรื่องภาวะการเป็นไข้ในสุนัขและแมวนี้ สามารถเจอได้ทุกบ้าน วันนี้ผมมีคำแนะนำเรื่อง “ภาวะไข้และคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อช่วยลดไข้ในสัตว์เลี้ยง” ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก
รศ.ร.ท.หญิง สพ.ญ.ดร.เนาวรัตน์ สุธัมนาถพงษ์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาฝากครับ
อุณหภูมิร่างกายที่ปกติของสุนัขอยู่ที่เท่าไหร่?
อุณหภูมิร่างกายปกติของสุนัขอยู่ที่ 37.5-39.2 องศาเซลเซียส หรือประมาณ99.5-102.5 องศาฟาเรนไฮด์ ซึ่งจัดว่าสูงกว่าของคนครับ ในคนจะอยู่ที่ประมาณ 36.4-37.5 องศาเซลเซียส หรือ 97.6-99.6 องศาฟาเรนไฮด์
อาการของสุนัขที่มีไข้เป็นอย่างไร?
สุนัขที่มีภาวะไข้มักแสดงอาการที่แตกต่างกัน เช่น ตัวสั่น ตาแดง นอนซม อาเจียน เบื่ออาหาร ไม่กินอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ลุกขึ้นมาวิ่งเล่น
เมื่อเราใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่จมูกสุนัขแล้ว รู้สึกว่าจมูกอุ่นและแห้งนอกจากนี้หากจับบริเวณใบหูแล้วรู้สึกอุ่น ก็ถือว่ามีภาวะไข้เกิดขึ้นได้
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ในสุนัข?
โดยทั่วไป ภาวะไข้มักเกิดจากการที่ร่างกายของสุนัขพยายามต่อสู้กับเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามาในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อหรือการอักเสบ ตัวอย่างเช่น ไข้จากการติดเชื้อเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส การเกิดฝี-หนอง ภาวะช่องหูอักเสบ การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อของอวัยวะภายใน จากการติดเชื้อจากแผลที่ถูกกัด หรือแผลจากรอยขีดข่วน จากการได้รับสารพิษ ซึ่งมีหลายชนิด เช่น พืชที่เป็นพิษ ยาหรืออาหารของคนที่เป็นพิษต่อสุนัข เช่น น้ำตาลเทียมหรือไซลิทอล (xylitol) เป็นต้น
สุนัขที่มีไข้ เบื้องต้นควรดูแลอย่างไร?
ในเบื้องต้น เราสามารถช่วยลดอุณหภูมิร่างกายลงได้ โดยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหูและเท้า ขณะเช็ดตัวนั้นอาจใช้พัดลมเป่าที่ตัวบนขนที่เปียกหมาดๆ อยู่ ก็จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้เร็วขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าไข้ลดลงแล้วหรือไม่ ควรตรวจสอบอุณหภูมิร่างกาย โดยใช้ปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิทางทวารหนักของสุนัข หากอุณหภูมิร่างกายลดลงถึง 39.5 องศาเซลเซียสหรือประมาณ 103 องศาฟาเรนไฮด์ ให้พักการช่วยระบายความร้อนได้ ทั้งนี้ไม่ควรลดอุณหภูมิลงเร็วเกินไป
นอกจากนี้ สำหรับสุนัขที่มีไข้ ควรพยายามให้กินน้ำปริมาณเล็กน้อยบ่อยๆ เพื่อให้มีความชุ่มชื้น ร่างกายจะได้ไม่ขาดน้ำด้วย
การให้ยาลดไข้แก่สัตว์ป่วยนั้น จำเป็นต้องให้สัตวแพทย์เป็นผู้กำหนดชนิดและขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับสัตว์แต่ละราย ไม่ควรให้สุนัขกินยาลดไข้หรือยาแก้ปวดของคน ไม่ว่าจะเป็น พาราเซทามอล (paracetamol หรือacetaminophen) แอสไพริน (aspirin) รวมทั้งไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เนื่องจากยาเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเป็นพิษต่อสุนัขได้สูง และในกรณีที่ได้รับยาเกินขนาด ก็สามารถทำให้สุนัขถึงแก่ชีวิตได้
เมื่อไหร่จึงควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์?
หากอุณหภูมิร่างกายของสุนัขสูงถึง 39.5 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 103 องศาฟาเรนไฮด์ เจ้าของสัตว์ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ ทั้งนี้หาก
อุณหภูมิร่างกายสูงถึง 41 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 106 องศาฟาเรนไฮด์ ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉิน (emergency) แล้ว เนื่องจากสามารถสร้างความเสียหายต่ออวัยวะภายใน และอาจจะทำให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้ จึงไม่ควรรอจนถึงจุดนั้น ควรรีบพาสุนัขไปที่คลินิกรักษาสัตว์หรือโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อให้สัตวแพทย์ ทำการตรวจร่างกาย และวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะไข้
หากสุนัขรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากสัตวแพทย์จะมีบันทึกประวัติสุขภาพของสุนัขเพื่อประกอบการวินิจฉัยในเบื้องต้น เช่นข้อมูลเกี่ยวกับการทำวัคซีนประจำปี ประวัติการผ่าตัด การถ่ายพยาธิ โรคภูมิแพ้ ยาที่เคยได้รับหรือกำลังได้รับเป็นประจำ และประวัติของความเจ็บป่วยในอดีต
ข้อมูลที่เราต้องเตรียมไว้ให้คุณหมอ เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัย มีอะไรบ้าง?
เพื่อความรวดเร็วและเป็นประโยชน์ในการตรวจวินิจฉัยโรค เจ้าของสัตว์ป่วยที่ไปพบสัตวแพทย์ควรเป็นผู้ที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการป่วยของสุนัข หรือเตรียมข้อมูลจากคนในบ้านที่ทราบข้อมูลไปด้วย เนื่องจากสัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องซักถามเจ้าของสุนัขเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลของสุขภาพหรือการเจ็บป่วยในที่เป็นปัจจุบัน เช่น
• สังเกตเห็นว่าสุนัขมีไข้ครั้งแรกเมื่อไหร่
• อาการป่วยอื่นๆ เช่น มีท้องเสีย ไอ อาเจียน ร่วมหรือไม่
• ความเป็นไปได้ที่สุนัขอาจกินพืชหรือสารพิษอื่นๆเข้าไป มีหรือไม่
• ความเป็นไปได้ที่สุนัขอาจถูกกัดโดยแมลงและสัตว์ที่มีพิษอื่นๆ มีหรือไม่
• สุนัขกินน้ำหรืออาหารได้บ้างหรือไม่ กินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
นอกจากนี้ หลังจากที่ตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้ว สัตวแพทย์อาจจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างจากสุนัข เช่น ปัสสาวะ เลือด เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ทราบข้อมูลอื่นเกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกาย และเพื่อให้ทราบว่ามีการติดเชื้อร่วมหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่าควรใช้ยาชนิดใดเพื่อกำจัดเชื้อดังกล่าว
หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ ในเบื้องต้น สัตวแพทย์อาจจะสั่งจ่ายยาต้านการติดเชื้อเพื่อช่วยกำจัดเชื้อจากร่างกาย ในบางกรณีอาจต้องมีส่งตัวอย่างไปตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอีกเพื่อการทดสอบที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เนื่องจากอาจยังไม่สามารถระบุสาเหตุของภาวะไข้ได้ แม้จะตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว โดยทั่วไปจัดเป็น Fever of Unknown Origin หรือ FUO (ภาวะไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุ)
ดังนั้นหากสุนัขมี “ไข้” และเราได้ให้การพยาบาลเบื้องต้นตามที่แนะนำไปแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น ก็ควรพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง อย่าปล่อยไว้จนสายเกินแก้นะครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
และฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี