เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันถึงประโยชน์ของการฝากท้องสำหรับสุนัขและแมวตั้งท้อง ความเสี่ยงและปัญหาที่พบในแม่สัตว์ตั้งท้อง
รวมถึงการตรวจท้องด้วยวิธีต่างๆ กันไปแล้ว สัปดาห์นี้เรามาพบกับคำถามและคำตอบที่พบได้บ่อย เกี่ยวกับสุนัขและแมวตั้งท้อง รวมถึงข้อแนะนำในการดูแลสัตว์ ตั้งแต่เริ่มผสมจนถึงหลังคลอดกันครับ
คำถามที่มักพบบ่อยๆ เมื่อเจ้าของทราบว่าสัตว์ตั้งท้องมีอะไรบ้าง?
คำถาม - แม่หมาตั้งท้องอาบน้ำได้ไหม?
คำตอบ - สามารถอาบน้ำให้แม่สุนัขและแม่แมวที่ตั้งท้องได้ หากเคยอาบน้ำให้เค้าเป็นประจำอยู่แล้ว และใช้เวลาในการอาบไม่นาน ซึ่งถ้าสุนัขหรือแมวไม่ได้กลัวการอาบน้ำหรือกลัวการเป่าขนมากจนเกินไป ทั้งนี้ยังไม่เคยมีรายงานว่าการอาบน้ำหรือเป่าขนทำให้สัตว์แท้งหรือผสมไม่ติด
คำถาม - สุนัขและแมวตั้งท้องสามารถกระโดด วิ่ง ออกกำลัง หรือพาไปเที่ยวได้ไหม?
คำตอบ - การออกกำลังกาย การวิ่ง หรือกระโดดขึ้นโซฟา นับเป็นเรื่องปกติของสุนัขและแมวอยู่แล้ว ไม่สามารถห้ามหรือขังกรงจำกัดพื้นที่ได้ตลอดเวลาที่ตั้งท้อง จึงสามารถให้เค้าใช้ชีวิตตามปกติ แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่หักโหมมากเกินไป นานเกินไป หรือหนักจนเกินไป ที่แตกต่างไปจากวิถีชีวิตปกติของเขา
คำถาม - ทำวัคซีนได้หรือไม่ รวมถึงใช้ยากำจัดเห็บหมัดได้มั้ย?
คำตอบ - ไม่แนะนำให้ทำวัคซีนในสัตว์ที่กำลังตั้งท้อง หากแม่สัตว์ทำวัคซีนเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำเพิ่มในช่วงนั้นนอกจากนี้ไม่ควรนำสัตว์อื่นที่ไม่ทราบประวัติวัคซีนหรือการป้องกันโรคติดเชื้อเข้ามาเลี้ยงในบ้าน หากจำเป็นต้องมีการกักบริเวณให้ชัดเจน ไม่ปะปนกัน จนกว่าจะแน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่แข็งแรง และไม่นำโรคติดต่อมาสู่สุนัขหรือแมวท้อง (ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์)
การใช้ยากำจัดเห็บหมัดบางชนิดสามารถใช้ได้ แต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้ยากำจัดเห็บหมัดที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด มีหลากหลายยี่ห้อ ตัวยาออกฤทธิ์และส่วนผสมมีหลายเกรดและหลายคุณภาพ ดังนั้น จึงแนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนใช้ จะเป็นการปลอดภัยที่สุด
คำถาม - แม่สัตว์จะคลอดเมื่อไร?
คำตอบ - การทำนายวันคลอดมีหลายวิธี เช่น นับจากวันตกไข่ในสุนัขหรือนับจากวันผสมในแมว ตลอดจนอัลตราซาวนด์วัดขนาดกะโหลกของลูกในท้อง ดูอัตราการเต้นของหัวใจลูก หรือการตรวจฮอร์โมนในช่วงใกล้คลอดเป็นต้น โดยปกติแล้ว สูติสัตวแพทย์จะใช้มากกว่า 1 วิธีร่วมกันในการทำนายวันคลอด
ข้อแนะนำในการดูสุนัขและแมวท้อง มีอะไรบ้าง?
มีคำแนะนำสำหรับผู้เลี้ยง ในการดูแลแม่สุนัขและแม่แมวที่กำลังตั้งท้องโดยแบ่งเป็น 4 ช่วง ดังนี้
1. หลังผสม 4 สัปดาห์ ควรพาไปอัลตราซาวนด์ตรวจท้องเพื่อให้แน่ใจว่าท้องหรือไม่ เพื่อประมาณจำนวนลูก ทำนายวันคลอด และประเมินภาวะเสี่ยงของการตั้งท้อง ว่ามีโอกาสเกิดการคลอดยากมากหรือน้อย ตลอดจนการให้ยาต่างๆ จะต้องระวังมากขึ้นในสัตว์ตั้งท้อง เนื่องจากยาบางชนิดส่งผลให้ลูกพิการหรือแท้งได้
2. ในช่วงกลางของการตั้งท้อง ระหว่างสัปดาห์ที่ 5-7 ควรพาไปตรวจอัลตราซาวนด์ตรวจท้อง เพื่อดูพัฒนาการของตัวอ่อนและรก ดูอัตราการเต้นของหัวใจลูก และดูความผิดปกติแต่กำเนิดบางชนิดของลูกที่อาจเห็นได้เมื่อประมาณสัปดาห์ที่ 7 เป็นต้นไป เช่น ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus)ซึ่งพบได้บ่อยในพันธุ์ชิวาวา เพื่อประมาณจำนวนลูกเปรียบเทียบกับการตรวจครั้งแรก รวมถึงปรึกษาคุณหมอเรื่องการปรับเปลี่ยนชนิด ปริมาณ ตลอดจนความถี่ของมื้ออาหารของแม่สัตว์
3. ช่วงท้ายของการตั้งท้อง ระหว่างสัปดาห์ที่ 8-9 พาไปตรวจอัลตราซาวนด์ตรวจท้องอีกครั้ง เพื่อปรึกษาคุณหมอเรื่องการเอกซเรย์นับจำนวนลูกในท้องและการวางแผนคลอด หากคลอดเองตามธรรมชาติที่บ้าน เจ้าของควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เช่น ต้องศึกษากระบวนการคลอดของสุนัขและแมว ศึกษาวิธีการช่วยลูกสัตว์แรกคลอดเบื้องต้น และเจ้าของควรเตรียมข้อมูลว่าหากเกิดกรณีคลอดไม่ออกฉุกเฉินในเวลากลางคืน จะพาแม่สัตว์ไปที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงที่ใดได้บ้าง
แต่หากแม่สัตว์มีภาวะเสี่ยงของการตั้งท้อง มีโอกาสคลอดยากหรือคลอดเองไม่ได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น สาเหตุโน้มนำจากสายพันธุ์ กระดูกเชิงกรานหัก เคยมีประวัติมดลูกเฉื่อยมาก่อน (uterine inertia) หรือได้รับการฉีดยาคุมกำเนิดระหว่างตั้งท้องจำเป็นต้องวางแผนผ่าคลอด เจ้าของก็สามารถนัดวันหรือประมาณวันผ่าคลอดก่อนกำหนด (planned c-section) กับสูติสัตวแพทย์ได้เพื่อให้เกิดความสะดวกทั้งเจ้าของและสัตวแพทย์
การเตรียมคอกหรือพื้นที่คลอด เลี้ยงลูกหลังคลอด ควรเป็นพื้นที่เงียบสงบไม่มีสัตว์อื่นมาวุ่นวาย ให้แม่รู้สึกปลอดภัยตลอดระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ที่เลี้ยงลูก
4. หลังคลอด เจ้าของควรศึกษาวิธีการเลี้ยงลูกสัตว์เบื้องต้น ในกรณีที่แม่สัตว์ไม่ยอมเลี้ยงลูก เช่น การป้อนนม ชนิดของนม ความถี่และปริมาณนม
ที่จะป้อนแต่ละครั้งการกระตุ้นลูกให้ขับถ่าย และควรให้ลูกสัตว์อยู่ในที่อบอุ่นตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
เมื่อท่านผู้อ่านได้ทราบรายละเอียดดังนี้แล้ว มั่นใจว่าทุกท่านก็สามารถเตรียมตัวและให้การปฏิบัติต่อแม่สุนัขได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากผศ.น.สพ.ดร.ศุภวิวัธน์ พงษ์เลาหพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์ เธนุเวชวิทยาและวิทยาการสืบพันธุ์
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี