‘ห้าม-ปล่อย’วิวาทะที่ไร้ข้อยุติ  ‘โสเภณี’กับสถานะในสังคมไทย

‘ห้าม-ปล่อย’วิวาทะที่ไร้ข้อยุติ ‘โสเภณี’กับสถานะในสังคมไทย

วันจันทร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เป็นข่าวใหญ่ตลอดสัปดาห์เศษๆ ที่ผ่านมา กับปฏิบัติการของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สนธิกำลังกับทหารและฝ่ายปกครองเข้าตรวจค้นสถานอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเครท” ถนนพระราม 9 ซอย 13 (ซอยศูนย์วิจัย 4) เมื่อ 12 ม.ค. 2561 หลังได้รับแจ้งจาก มูลนิธิพิทักษ์สตรี ให้เข้าตรวจสอบกรณีมีการนำพาเด็กสาวอายุไม่ถึง 18 ปีจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาบังคับค้าประเวณีในประเทศไทย ซึ่งมีการโฆษณาทำนองเชิญชวนให้ “เปิดบริสุทธิ์” เด็กสาวดังกล่าว

ในมุมหนึ่งเรื่องของคดีความยังคงต้องติดตามกันต่อไปทั้งกรณีที่ปรากฏรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือคำถามที่ว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริง? ดังการออกมาเปิดเผยของ “อดีตเจ้าพ่ออ่าง” ผู้คลุกคลีกับธุรกิจนี้มายาวนานอย่าง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่าผู้ที่ถูกจับกุมได้เป็นเพียง “นอมินี” เท่านั้น แต่อีกมุมหนึ่ง ทุกครั้งที่มีการจับกุมการค้าประเวณี ทั้งก่อนหน้านี้กับกรณีอาบอบนวด “นาตารี” เมื่อปี 2559 รวมถึงคดีค้ากามที่ จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อปี 2560 ที่เป็นข่าวครึกโครม ได้สะท้อนภาพความ “ครึ่งๆ กลางๆ” ว่าสังคมไทยจะเอาอย่างไรกับปัญหานี้?


“วิวาทะ” ระหว่างฝ่ายที่อยากให้การค้าประเวณีได้รับการยอมรับในเชิงกฎหมาย ในกรณีที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้ออายุ 18 ปีขึ้นไป กับฝ่ายที่คัดค้านในทุกกรณีเพราะมองในเชิงศีลธรรม เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมานาน อาทิ บทความ พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาโสเภณี ที่เผยแพร่ในปี 2548 โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) บอกเล่าประวัติศาสตร์การกำหนดให้การค้าประเวณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย ว่าเริ่มตั้งแต่ปี 2503

ในปีนั้น องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศนโยบายคัดค้านอาชีพโสเภณี และประเทศไทยก็ “รับลูก” ด้วยการออก พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 มาบังคับใช้ ทว่าก็เป็นอย่างที่ทราบกันคือการค้าประเวณียังดำรงอยู่ และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอกในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันคือ “ทหารอเมริกัน” ที่มาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อไปรบใน สงครามเวียดนาม อนึ่ง..ในปี 2523 ผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีท่านหนึ่งเคยเสนอว่า น่าจะมีการอนุญาตให้ตั้งสถานค้าประเวณีถูกกฎหมายในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว

นาตารี (ซ้าย) วิคตอเรีย ซีเครท (ขวา) 2 สถานอาบอบนวดที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาค้ามนุษย์

ทว่าสมัยนั้นก็มีปัญหา “ขายลูกกิน” หรือที่เรียกกันว่า “ตกเขียว” หมายถึงพ่อแม่จากชนบทยินดีขายลูกสาวของตนให้ไปเป็นโสเภณีตามสถานบริการในเมืองใหญ่ อาทิ รายงานของ ศูนย์พิทักษ์เด็ก มูลนิธิเด็ก เมื่อปี 2536 ระบุว่า “โสเภณีเด็ก” เป็นปัญหาสังคมอย่างมาก โดยมีเด็กสาวอายุไม่เกิน 16 ปี ขายบริการทางเพศอยู่ทั่วประเทศมากถึง 8 แสนคน ทั้งโดยถูกบังคับหรือไม่ถูกบังคับแต่สมัครใจเพราะเห็นหญิงรุ่นพี่ๆ หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ (HIV-AIDS) ที่เป็นวิกฤติร้ายแรงมากในช่วงเดียวกัน

บทความนี้อ้างอิงแนวคิดในวิวาทะของทั้ง 2 ฝั่งโดย “ฝ่ายสนับสนุน” จะชูประเด็น “สิทธิส่วนบุคคล” อาทิ แม้ผู้เป็น
โสเภณีจะทำผิดศีลธรรมทางเพศ แต่ก็มิใช่ผู้ที่เลวชั่วไปเสียทั้งหมด หรือศีลธรรมในแต่ละความเชื่อนั้นแตกต่างกัน แต่ละคนจึงควรมีสิทธิที่จะเลือกทางเดินของตน อีกทั้งมิได้ละเมิดต่อผู้ใด ผู้ซื้อและผู้ขายต่างสมัครใจ นอกจากนี้การทำให้ถูกกฎหมายยังนำมาซึ่งการได้รับความคุ้มครองจากรัฐเท่าเทียมกับอาชีพอื่นๆ และมองว่าโสเภณีก็เหมือนอีกหลายกิจกรรมที่ไม่ค่อยดีเท่าไรแต่สังคมอนุญาตให้ทำได้ เช่น สุรา-ยาสูบ การประหารชีวิต หรือการทำแท้ง เป็นต้น

ขณะที่ “ฝ่ายคัดค้าน” จะชูประเด็น “ศีลธรรมอันดี” เป็นหลัก อาทิ มองว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มีความผิดในตัวเองมาแต่ต้น (Self-Evident) นอกจากนี้ การอ้างว่าในเมื่อความชั่วแบบอื่นทำได้เหตุใดความชั่วอีกแบบอย่างค้าประเวณีทำไมจะทำบ้างไม่ได้ ถือเป็นการอ้างที่ผิดเพราะเป็นการอ้างความชั่วมาสนับสนุนความชั่วด้วยกัน รวมถึงสิทธิของปัจเจกชนไม่สมควรที่จะมีความสำคัญไปกว่าความมั่นคงของสังคมหรือประเทศชาติ เป็นต้น

ทั้งนี้พระอาจารย์ผู้เขียนบทความ ก็ยอมรับว่า “โสเภณีขัดกับหลักศีลธรรมแบบพุทธ” โดยอธิบายว่าหากนับ “ศีล 5” 
ที่เป็นข้อปฏิบัติหลักของชาวพุทธ ข้อ 3 “กาเมสุมิจฉาจาร” (ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม) การขายบริการทางเพศจะ
“ไม่ผิดศีลธรรม” ในกรณีเดียวเท่านั้นคือ “ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเป็นโสด และทั้งคู่ต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว” นอกเหนือจากนี้ผิดทั้งหมดไม่ผู้ซื้อก็ผู้ขายหรือไม่ก็ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ถึงกระนั้นก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า การแก้ไขปัญหานี้คงมิใช่การตีตราว่าโสเภณีเป็นคนไม่ดีเพียงด้านเดียว แต่จะทำอย่างไรให้เขามีทางเลือกอื่นๆ ในการดำรงชีพ

ไม่ต่างจาก 5 ปีก่อนหน้านั้น ในเดือน พ.ย. 2543 ประเทศไทยมีการ “จัดสัมมนาพนักงานบริการนานาชาติ” ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดในไทยของกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศจาก 11 ประเทศ เวลานั้นข้อถกเถียงในสังคมไทยก็ไม่ต่างกัน ฝ่ายสนับสนุนมองว่าโสเภณีเป็นอาชีพสุจริตสังคมควรยอมรับ และมีคุณค่าในฐานะเป็นผู้สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วย ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านก็ย้ำเสมอว่าหากยินยอมให้โสเภณีถูกกฎหมาย จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และทำให้จำนวนผู้ค้าบริการเพิ่มสูงขึ้น

รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวไว้ในเวทีเสนองานวิจัยเรื่อง การโต้เถียงสาธารณะเพื่อสร้างทางเลือกว่าด้วย “การค้าบริการทางเพศ” ในสังคมการเมืองไทย เมื่อเดือน ต.ค. 2554 ว่า ในการถกเถียงประเด็นการขายบริการทางเพศ เมื่อแบ่งเป็น“3 วง” พบว่า “วงสาธารณะ” หรือวงกว้างทั่วๆ ไป จะมี “ความขัดแย้งระหว่างความเห็นกับความจริง” กล่าวคือในขณะที่ความเห็นของสังคมไทยบอกว่าไม่สนับสนุนการค้าประเวณีเพราะขัดต่อศีลธรรม แต่ความจริงกลับพบการขยายตัวของอาชีพดังกล่าวสูงขึ้น

ต่อมา “วงนโยบาย” เป็นความเคลื่อนไหวของภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมไปจนถึงเครือข่ายผู้ค้าบริการทางเพศเอง เพื่อผลักดันข้อเสนอแนะให้เป็นรูปธรรม และ “วงส่วนตัว” ซึ่งวงนี้ปัญหาดูจะคล้ายกับวงสาธารณะ เพราะด้านหนึ่งตำรวจมักบอกว่าเห็นใจผู้ขายบริการ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีข่าวผู้ขายบริการถูกตำรวจข่มเหงรังแกปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ เช่นกัน ทั้งนี้อาจารย์ชลิดาภรณ์ ทิ้งท้ายไว้ว่า แม้การถกเถียงในประเด็นการขายบริการทางเพศดูแล้วยากจะสิ้นสุด แต่ปัญหาผู้ค้าถูกรังแกควรมีการแก้ไขไปก่อนไม่ต้องรอ

บทสรุปของการถกเถียงเรื่องนี้ในสังคมไทย ดูจะไร้ที่สิ้นสุดอย่างที่ผ่านๆ มา อาทิ เมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2560 ที่รัฐบาลมีนโยบาย “ช็อปช่วยชาติ” แล้วทางกรมสรรพากร ออกมายืนยันว่า “อาบอบนวด-ร้านคาราโอเกะ” หากจดทะเบียนถูกต้อง ลูกค้าไปใช้บริการแล้วมีใบเสร็จสามารถนำมา “ขอลดหย่อนภาษีได้” เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามากในสังคมไทย เว้นแต่ในมุมมองของ “เจ๊เบียบ” ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ที่มีท่าที “เดือด” กับเรื่องนี้มาก เพราะเข้าข่าย “ส่งเสริมให้ผู้ชายทำผิดศีลธรรม” เป็นการสร้างปัญหาให้กับทั้งครอบครัวและสังคม

ฟังดูแล้วก็ “น่าเห็นใจ” ภาครัฐทั้งฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติอยู่ไม่น้อย เพราะการค้าประเวณีในสังคมไทย “จะกวาดล้างทั้งหมดก็ไม่ได้” เพราะหากไม่ปฏิเสธความเป็นจริงจะพบว่าสังคมมีความต้องการ เห็นได้จากแม้จะระบุว่าผิดกฎหมายแต่ก็พยายาม “หลบเลี่ยง” ในรูปแบบต่างๆ และจำนวนผู้ค้าบริการก็ไม่เคยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ “จะอนุญาตให้ทำก็ไม่ได้อีก” เพราะขัดต่อความรู้สึกด้านศีลธรรมของผู้คนในสังคมไทยเองที่ “ยากจะยอมรับ” ให้โสเภณีมีสถานะถูกกฎหมาย ซึ่งย่อมหมายถึงการมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเยี่ยงอาชีพอื่นๆ ไปโดยปริยาย

เป็นภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” โดยแท้!!!

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top