อินเดีย 1 ในดินแดนเก่าแก่ของโลกที่มีประวัติยาวนานหลายพันปี ประเทศที่มีพลเมืองราว 1.3 พันล้านคน เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีนแห่งนี้นั้นถือเป็น “ต้นธารอารยธรรมสำคัญ” ของทวีปเอเชียเคียงกันกับจีนและเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน) ขนบประเพณี ศาสนาและคติความเชื่อทั้งฮินดู (พราหมณ์) และพุทธ ถือกำเนิดในอินเดียก่อนเผยแพร่ไปยังดินแดนอื่นๆ รวมถึงภูมิภาค “อาเซียน” เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต่อมากลายเป็นประเทศไทยและเพื่อนบ้านอีก 9 ชาติ นอกจากนี้ อินเดียสมัยใหม่ยังมีชื่อเสียงในฐานะ “แหล่งผลิตบุคลากรไอที” ชั้นหัวกะทิอีกด้วย
แม้จะมีอดีตที่เก่าแก่และปัจจุบันที่น่าภาคภูมิใจ แต่ภาพลักษณ์ของสังคมอินเดียที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลกนั้นค่อนข้าง “หดหู่” ด้วยปัญหาความยากจนที่ยังมีและหนักอยู่มาก ความเหลื่อมล้ำช่องว่างทางฐานะที่สูงซึ่งเชื่อว่ามีต้นตอมาจากระบบวรรณะที่ฝังลึกมานับพันปีและยังไม่คลี่คลายแม้เข้าสู่โลกยุคใหม่ รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศต่อสตรีที่มีข่าวให้เห็นอยู่เนืองๆ
ล่าสุดกับกรณีสะเทือนขวัญที่ปรากฏเป็นข่าวตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. 2561 เมื่อมีการพบศพ อาสิฟา บาโน (Asifa Bano) เด็กหญิงวัย 8 ขวบ อยู่ในพงหญ้าในเขตแคว้นแคชเมียร์ (Kashmir) หลังเด็กน้อยหายตัวไปเมื่อหลายวันก่อนหน้า ซึ่ง อาสิฟา นั้นเป็นเด็กจากชนเผ่าเร่ร่อนที่นับถือศาสนาอิสลาม และในเวลาต่อมาได้กลายเป็น “ความขัดแย้งทางศาสนา” เพราะเมื่อตำรวจสืบสวนจนสามารถจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุ ก็เกิดการ “ชุมนุมประท้วง” ในนามสาวกของศาสนาฮินดู เพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้ต้องหา ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีให้เอาผิดผู้ก่อเหตุ
26 เม.ย. 2561 หรือ 4 วัน หลังมีรายงานข่าวว่ารัฐบาลอินเดียเสนอให้ใช้ “โทษประหารชีวิต” กับในความผิดฐานข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี นอกจากนี้ยังเสนอเพิ่มบทลงโทษคดีข่มขืนกระทำชำเราต่อสตรีให้สูงขึ้นกว่าเดิม อันมีที่มาจากคดีฆ่าข่มขืนหนูน้อย อาสิฟา บาโน ทีมงาน “สกู๊ปแนวหน้า” มีโอกาสพูดคุยกับ ศ.ดร.จรัญ มะลูลีม อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่ง อาจารย์จรัญ ในฐานะที่เคยไปใช้ชีวิตกินนอนในอินเดียถึง 10 ปี เล่าว่า..
“อินเดียมีปัญหาระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมมาช้านานแล้ว เช่น คนสองคนต่อสู้กัน แล้วมารู้ทีหลังว่าคนหนึ่งเป็นฮินดูอีกคนเป็นมุสลิม ก็กลายเป็นเรื่องขัดแย้งทางศาสนาได้ ทั้งๆ ที่เป็นการทะเลาะกันส่วนตัวของคนสองคน มันจะถูกทำให้เป็นแบบนี้บ่อยครั้งมาก จะกรณีอะไรก็แล้วแต่ มันสามารถถูกทำให้เป็นความขัดแย้งทางศาสนาได้ตลอดเวลา”
อาจารย์จรัญ กล่าวต่อไปว่า ความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมเป็น “บาดแผล” ของสังคมอินเดียที่ “แก้ไม่หายเสียที” ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วอินเดียเคยถูกปกครองโดย จักรวรรดิโมกุล (Mogul Empire : ปี 2069-2400) ซึ่งชนชั้นปกครองนับถือศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจักรวรรดิโมกุลค่อนข้างใจกว้างอยู่ไม่น้อยในด้านการนับถือศาสนา เห็นได้จาก “ทัชมาฮาล” (Taj Mahal) สิ่งก่อสร้างที่ถูกยกเป็น “สิ่งมหัศจรรย์ของโลก” ก็มีส่วนผสมระหว่างศิลปะฮินดูกับมุสลิม
แต่ที่เป็นปัญหากันบ่อยๆ นั้นเป็นเรื่อง “การเมืองปั่นกระแส” เสียมาก แม้กระทั่งพรรค “บีเจพี” (Bharatiya Janata Party : BJP) ต้นสังกัดของ นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย ก็เป็นพรรคการเมืองที่มีประวัติเคยสนับสนุนให้ชาวฮินดูบุกทำลาย “มัสยิดบาบรี” (Babri) ศาสนสถานและโบราณสถานอายุกว่า 4 ศตวรรษของชาวมุสลิม เมื่อปี 2535 โดยชาวฮินดูที่ร่วมก่อเหตุนั้นเชื่อว่าที่ตั้งของมัสยิดดังกล่าวเป็นที่กำเนิดของพระราม เทพเจ้าองค์สำคัญของศาสนาฮินดู และพรรคบีเจพีก็มีจุดยืดในทาง “ชาตินิยมฮินดู” (Hindu Nationalism) ค่อนข้างชัด
และแม้จะมีห้วงเวลาหนึ่งที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของ อังกฤษ แต่จักรวรรดิผู้ดีจากโลกตะวันตกก็ไม่ช่วยปรับทัศนคติเกี่ยวกับศาสนาในหมู่คนอินเดียให้ยอมรับความแตกต่าง อาจารย์จรัญ กล่าวว่า ระหว่างการยึดครองอินเดีย อังกฤษใช้นโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” (Divide and Rule) ตั้งคนฮินดูปกครองมุสลิมบ้าง ตั้งคนมุสลิมปกครองฮินดูบ้าง ดังนั้นนอกจากสถานการณ์จะไม่ดีขึ้นแล้วยังแย่ลง เกิดความแตกแยกร้าวฉานในสังคมอินเดียอีกต่างหาก หรือโดยสรุปแล้ว..
“การเมืองต่างเป็นฝ่ายก่อปัญหาเสียยิ่งกว่าจะเป็นความขัดแย้งของประชาชนต่อประชาชนเอง หลายครั้งที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นมันจะมีเบื้องหลังอยู่ตลอด พรรคการเมืองนี่อันดับหนึ่ง คือในอินเดีย
มีพรรคการเมืองตั้ง 800 กว่าพรรค ก็มีพรรคศาสนา เวลาจะเข้าสู่อำนาจก็ต้องเน้นว่าศาสนาหนึ่งต้องเหนือกว่าอีกศาสนาหนึ่ง แม้แต่รัฐคุชราต (Gujarat) ของนายโมดี ก็มีเหตุชาวมุสลิมถูกฆ่าตายแล้วนายโมดีไม่ได้จัดการ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์”
อาจารย์จรัญ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า หนทางเดียวที่จะคลี่คลายความบาดหมางทางศาสนาของชาวฮินดูและมุสลิมในอินเดียคือ “คนทุกชนชั้นวรรณะได้รับการยอมรับในสังคม” ซึ่งในอินเดียนอกจากพรรคการเมืองอิงศาสนาแล้วยังมี “พรรคการเมืองที่อิงวรรณะ” อีกต่างหาก และวรรณะในอินเดียก็แยกย่อยไปได้มากมาย แต่ก็อาจพอเห็นความหวังได้บ้างจาก “การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” ทำให้มีการลงทุนและเกิดการจ้างงาน การที่คนอินเดียได้เข้าทำงานมากขึ้นจนสามารถยกระดับฐานะขึ้นไปเป็น “ชนชั้นกลาง” เมื่อนั้นอคติของคนวรรณะสูงที่มีต่อคนวรรณะต่ำคงเบาบางลง
ผู้คนก็จะไม่ต้องกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ถูกปลุกปั่นให้ขัดแย้งและทำร้ายกันเองอีก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี