30 ส.ค. 2561 ที่งานเสวนาวิชาการเนื่องในโอกาสวันสากลแห่งการต่อต้านการบังคับให้สูญหาย หรือวันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) POLICE WATCH ร่วมกับ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ กล่าวถึงปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย หรือการอุ้มหาย ว่าข้อจำกัดประการหนึ่งคือเมื่อไม่พบศพตำรวจย่อมไม่สามารถสืบสวนสอบสวนต่อในฐานะคดีฆาตกรรมได้ สุดท้ายก็ต้องจำหน่ายเป็นบุคคลสาบสูญไป
อย่างไรก็ตามหากร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .. ที่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตีกลับไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน สามารถผ่านการพิจารณาของ สนช. จนออกมาบังคับใช้ได้ในอนาคต จะช่วยลดปัญหาคดีคนหายในประเทศไทยค้างอยู่ได้ เนื่องจากในร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้สามารถสืบสวนต่อไปได้จนกว่าจะพบผู้สูญหายไม่ว่าเป็นหรือตาย จนดูเหมือนคดีอุ้มหายจะไม่มีอายุความ ดังนั้นผู้ก่อเหตุคงจะอยู่อย่างไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต เพราะต้องกังวลว่าคดีที่ก่อไว้ไม่รู้จะถูกเปิดโปงเมื่อใด
พ.ต.อ.วิรุตม์ ยกตัวอย่างกรณีการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจเข้าข่ายใช้วิธีนอกกฎหมาย โดยกล่าวว่าในอดีตมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้แต่ในกรุงเทพฯ เช่น มีข่าวตำรวจไปจับกุมคนร้าย ณ สถานที่แห่งหนึ่งช่วงกลางคืน จากนั้นคนร้ายได้ถูกยิงเสียชีวิตซึ่งตำรวจรายงานว่าต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวเพราะคนร้ายใช้อาวุธต่อสู้ขัดขืนการจับกุม แต่ระยะหลังๆ เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะหายไป โดยจุดเปลี่ยนมาจากการแก้ไขกฎหมายให้อัยการมีอำนาจร่วมชันสูตรพลิกศพคนร้ายคดีที่ตำรวจทำการวิสามัญฆาตกรรม
“ถ้าคุมอำนาจสอบสวนไม่ได้ก็อุ้มฆ่าใครไม่ได้ เพราะมันจะเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐาน อาชญากรรมทุกอย่างมันมีพยานหลักฐานทั้งสิ้น มันมีร่องรอย ร้อยละ 90 ถ้ามีการสืบสวนที่มีประสิทธิภาพและมีความจริงใจ มันจับคนร้ายได้ทั้งสิ้น อย่างน้อยรู้ตัวคนร้ายหรือผู้กระทำ แต่ปัญหาที่มันดำมืดอยู่ทุกวันนี้เพราะมันเป็นการกระทำโดยผู้มีอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะได้รับการส่งสัญญาณจากระดับสูง หรือกลุ่มผู้ปฏิบัติกระทำไปโดยพละการแล้วผู้มีอำนาจก็ปกป้องทำเป็นไม่รู้” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว
อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ ยังกล่าวอีกว่า อีกด้านหนึ่งไม่ว่าการอุ้มหายหรือการวิสามัญฆาตกรรมอย่างมีข้อน่าสงสัย ในกรณีที่เชื่อได้ว่าเรื่องนั้นมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง สื่อมวลชนและประชาชนเองก็อาจเข้าข่ายร่วมสนับสนุนให้กระบวนการเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ เช่น เมื่อครั้งที่รัฐบาลสมัยหนึ่งมีนโยบายประกาศสงครามกับยาเสพติดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2,500 ศพ กระแสสังคมไทยที่ออกมากลับเป็นไปในทำนองสะใจบ้าง หรือเห็นด้วยเพราะทำให้บ้านเมืองสงบบ้าง ทำให้ไม่มีการสืบหาข้อเท็จจริงว่าผู้เสียชีวิตเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจริงหรือไม่
“ทรรศนะของสื่อ ทรรศนะของประชาชน มองว่าคนชั่วค้ายาเสพติดบ้าง ลักขโมยบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่มีผู้มีอิทธิพลถูกฆ่า มีแต่คนจน ทำให้ไม่ได้ติดตาม อย่าว่าแต่อุ้มฆ่าเลย คดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเราจะได้ยินเสมอว่ามีคนถูกยิงตาย เจ้าหน้าที่รัฐผู้รับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับการหรือระดับสูงอะไรก็แล้วแต่ บอกผู้ตายมีพฤติการณ์พัวพันกับธุรกิจมืดอะไรต่างๆ คือรู้เห็น จะกระทำหรือไม่กระทำไม่ทราบแต่ว่ารู้เห็น” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี