"...ทุกวันนี้เขาพูดว่า "โลกเจริญ" มันเจริญที่ตรงไหน? ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วมันเจริญที่ตรงไหน คนกำลังจะถูกเผาทั้งเป็นกันอยู่แล้ว เพราะความทุกข์มันสุมหัวใจเวลานี้ จะหาความเจริญมาจากไหน ความเจริญก็ต้องเป็นความสงบสุข ความสะดวกสบาย ความเป็นอยู่สบาย หน้าที่การงานสะดวกสบาย การคบค้าสมาคมสะดวกสบาย อยู่ด้วยกันเป็นหมู่เป็นคณะมีจำนวนมากน้อย เป็นความสะดวกสบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่แข่งดิบแข่งดีที่เรียกว่า “แข่งกิเลสกัน” ไม่ฆ่าไม่ตี ไม่แย่งไม่ชิง ไม่คดไม่โกง ไม่กดขี่บังคับ ไม่รีดไม่ไถ ซึ่งกันและกัน อันเป็นการทำลายสมบัติและจิตใจของกันและกัน
ในขณะเดียวกัน ต่างก็เห็นอกเห็นใจกัน เมตตาสงสารกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ ให้ความเสมอภาคด้วยความมีเมตตากรุณาต่อกัน ไม่อิจฉาริษยากัน ไม่เบียดเบียนกัน อยู่ด้วยกันฉันพี่น้องเลือดเนื้ออันเดียวกัน จะเรียกว่าโลกเจริญได้ตามความจริง โลกได้รับความสงบสุขทั่วหน้ากัน ทั้งคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด โลกไม่ดูถูกเหยียดหยามกันและกัน นำความยิ้มแย้มแจ่มใสออกทักทายกัน ไม่แสดงอาการบูดบึ้งใส่กัน ต่างคนต่างมีเหตุมีผลเป็นหลักดำเนิน
เมื่อพูดตามความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้โลกเป็นอย่างนี้ไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าโลกเจริญจริง แต่ทั้งๆ ที่ว่า “เวลานี้โลกกำลังเจริญ”จึงทำให้สงสัยว่ามันเจริญอะไรบ้าง? เจริญที่ตรงไหน?
ถ้าเจริญด้วยวัตถุเครื่องก่อสร้าง จะสร้างเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าไม่แบกกองทุกข์เพราะอะไรท่วมหัวน่ะ
ทีนี้ย้อนเข้ามาหาตัวของเรา วันหนึ่งคืนหนึ่งตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่ตลอดเวลาเหมือนกงจักร การที่กายและใจหมุนเป็นกงจักร ไม่มีเวลาพักผ่อนตัวบ้างเลยเช่นนี้เป็นความสุขหรือ? คนเดินทางไม่หยุด คนวิ่งไม่มีเวลาหยุด เป็นความสุขหรือ? ความจริงต้องมีเวลาพักผ่อนนอนหลับให้สบายบ้าง คนเราถึงจะมีความสุข การคิดมากต้องวุ่นมากทุกข์มาก ถ้าหนักเข้าต้องเป็นโรคประสาท ธาตุขันธ์ที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งเจ็บหัว ปวดท้อง เต็มอวัยวะ คนนั้นมีความสุขหรือ?
กิเลสมันชอนมันไชมันกัดมันฉีกอยู่ตลอดเวลา ทุกอาการที่เคลื่อนไหวแห่งจิตใจ นั่นมีความสุขหรือ? โลกเจริญแล้วหรืออย่างนั้น? ความกัดฉีกของกิเลส ผลที่เกิดขึ้นจากการกัดการฉีกของกิเลสมันก็มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น หาความสุขไม่มี เมื่อเป็นเช่นนี้จะเอาความสุขมาจากไหน? เวลาที่ย้อนเข้ามาดูที่ตัวเรา มันก็เป็นไฟอยู่ภายในจิตใจ เพราะกิเลสก่อไฟเผาใจอยู่ตลอดเวลา “ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา” นั่น ฟังซิ! “ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ” ไฟคือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเผาอยู่ที่ใจ
ขึ้นชื่อว่า "ไฟ" ไม่ว่าจะก่อที่ไหนเวลาใดมันร้อนที่นั่น ถ้าไฟที่มันลุกโพลงขึ้นมาภายในจิตใจ คือไฟโลภะ โทสะ โมหะ มันต้องเผาที่จิตใจ แม้กายก็จำต้องรับทุกข์ไปด้วย รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่มีแรง
ตามหลักธรรมท่านสอนไว้ว่า "โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ" เป็นต้น เมื่อโลกสันนิวาสนี้ เต็มไปด้วยความมืดมนอนธการ เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหามันแผดเผาอยู่ตลอดเวลา พวกท่านทั้งหลายเพลิดเพลินหัวเราะร่าเริงกันหาอะไร? ทำไมจึงไม่รีบแสวงหาที่พึ่ง มาเพลินอยู่กับไฟทำไมกัน เพราะ “ความลืมตัว ประมาท” นั่น! ท่านสอนฟังซิ ถึงใจไหม? พระพุทธเจ้าสอนโลกน่ะ..."
.....................
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙
จากเพจ : ธรรมะหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี โดย NoiLadda Indee
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี