ดีใจกับพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ทั่วประเทศ ที่คณะรัฐมนตรี “ใจป้ำ” อนุมัติงบประมาณหลายหมื่นล้าน เพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางหลังราคาพืชผลตกต่ำกว่าทุกปีที่ผ่านมา สร้างความเข้มแข็งให้ชาวสวนปาล์มน้ำมัน และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวไร่ยาสูบ ที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) อีกทั้งยังอนุมัติงบประมาณตามโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อลดภาระหนี้ให้กับให้เกษตรกรรายย่อย
แม้มาตรการเหล่านี้ จะคลอดออกมาท่ามกลางข้อกังหาว่าเป็นหนึ่งในความพยายามหาเสียง เพื่อปูทางก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
แต่สำหรับเกษตรกรชาวไร่แล้ว เงินช่วยเหลือเหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้
อีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า การที่รัฐบาลเข้ามาอุ้ม โดยการให้เงินช่วยเหลือแบบนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเพื่อลดความเดือดร้อนชั่วคราวเท่านั้น เพราะยังมีการส่งสัญญาณว่าจะเป็นการช่วยเหลือแค่เพียงฤดูกาลปลูกนี้เท่านั้น ซึ่งในระยะยาวชาวสวน-ชาวไร่ก็ต้องหาทางปรับตัวและหาแนวทางปลูกพืชทดแทน แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่มีแผนการใดๆ มาเป็นหลักประกันว่าการเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี อีกทั้ง อาชีพเกษตรกรเป็นวิถีที่ทำกันมารุ่นสู่รุ่น และต้องอาศัยความชำนาญ
หากวิเคราะห์กันให้ลึกๆ แล้วจะเห็นว่าปัญหาทั้งยาง ปาล์ม และยาสูบ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีผลผลิตเกินความต้องการของตลาด ทำให้เกิดปัญหาราคายางและราคาปาล์มตกต่ำ และยาสูบโดนตัดโควตาปริมาณการรับซื้อ ต่างกันตรงที่ราคายางและราคาปาล์มเป็นเรื่องของกลไกตลาดล้วนๆ ในขณะที่โควตายาสูบเป็นผลจากการดำเนินนโยบายภาษีของรัฐบาลที่ไปมีผลต่อตลาดอีกทีหนึ่ง
ดังนั้น หากต้องการแก้หรือบรรเทาปัญหานี้ รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หรือ เกาให้ถูกที่คัน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับรัฐบาลที่จะได้ไม่ต้องอัดฉีดเงินหลายหมื่นล้านเพื่อให้การช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเกษตรชาวไร่เองก็จะได้เลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน
กรณีชาวไร่ยาสูบ ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ ยสท. ประสบปัญหายอดขายลดลงจากการขึ้นอัตราภาษีบุหรี่จนสูงเกินไป จนทำให้ต้องประกาศลดโควตารับซื้อใบยาจากชาวไร่ทั่วประเทศในฤดูกาลปลูกปี 2561-62 ลงราวร้อยละ 50 แม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติเงิน 159 ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีอภิศักดิ์แห่งกระทรวงการคลังเสนอมา เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปในฤดูกาลปลูกนี้ให้กับชาวไร่แล้วก็ตาม แต่หากอัตราภาษีบุหรี่ยังสูงแบบนี้ ยสท. คงยังไม่สามารถขายสินค้าได้ ก็จำเป็นต้องลดโควตารับซื้อใบยาลงทุกปีหรือหยุดซื้อใบยาสูบจากชาวไร่อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หากกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตยังยืนยันที่จะขึ้นภาษีบุหรี่เป็น 40% ในเดือนตุลาคม 2562 และกระทรวงการคลังยังเห็นชอบให้เก็บภาษีบุหรี่เพิ่มอีก 2 บาท เพื่อสมทบเข้ากองทุนหลักประกันสุขภาพหรือกองทุนบัตรทอง ก็จะยิ่งกระทบกับยอดขายของ ยสท. อย่างรุนแรง เพราะราคาบุหรี่จะพุ่งจาก 60 เป็น 90 บาท หรือมากกว่าทันที ทำให้ยอดขายของ ยสท. ต้องทรุดหนักลงไปอีกบวกกับปริมาณใบยาสูบในคลังที่มีเหลือใช้ได้ถึง 5 ปีทำให้อาจไม่สามารถซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรได้อีกในปีหน้า สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดก็คือชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศอีกเช่นเคย
ดังนั้นโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูกาลผลิต 2561/2562 จึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะปีนี้เท่านั้นแถมยังต้องเอางบประมาณซึ่งก็คือภาษีของประชาชนมาใช้ในการช่วยเหลืออีกด้วย ขณะที่ระเบิดเวลาลูกใหญ่อยู่ที่ปีหน้าและปีถัดไป หากรัฐบาลตั้งใจจะช่วยเหลืออย่างจริงจังแล้ว คงต้องไปแก้ปัญหาที่สาเหตุที่แท้จริงซึ่งมาจากอัตราภาษีสรรพสามิตที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ และยังจะเก็บเพิ่มภาษีบุหรี่อีก 2 บาท เอาไปสมทบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่ากับซ้ำเติมชาวไร่เกษตรกรกว่า 50,000 ครอบครัว จนอาจต้องหางบประมาณมาอุดหนุนกันอีกในปีหน้า เท่ากับสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
หากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ 4 รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ไม่เข้ามาแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบ ชาวสวนยาง และชาวสวนปาล์ม ซึ่งเป็นฐานคะแนนสำคัญในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้อย่างตรงจุดและยั่งยืน โอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากชาวไร่และเกษตรกรเหล่านี้คงดูเลือนรางเต็มที ไหนๆ รัฐบาลก็คิดจะช่วยเกษตรกรกันอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้เต็มที่ ทำตอนนี้ ทำให้ชาวไร่เกษตรกรได้เห็นความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างถึงที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี