สตินี้เป็นธรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดาธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงเปรียบสติเหมือนกับรอยเท้าช้าง ยิ่งใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหมดในป่า รอยเท้าช้างนี้ครอบรอยเท้าของสัตว์ป่าทั้งหมดได้ สติก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดาธรรมทั้งหลาย สำคัญกว่าสมาธิ สำคัญกว่าปัญญา เพราะว่าถ้าไม่มีสติ สมาธิจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่สมาธิปัญญาที่จะเห็นทุกข์ว่าเกิดจากตัณหาความอยากก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นถ้าอยากจะปฏิบัติให้ก้าวหน้าก็ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเวล่ำเวลาให้กับการเจริญสติ สร้างสติขึ้นมาให้มีกำลังแก่กล้าเพื่อที่จะหยุดความคิดปรุงเเต่งของใจให้ได้ อย่าปล่อยให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย คิดอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล คิดเพ้อเจ้อคิดตามอารมณ์อย่างนี้ทำไปแล้วจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะจะไม่ทำให้ใจสงบ แต่กลับทำให้ใจฟุ้งซ่านมากขึ้น ทำให้ใจวุ่นวายมากขึ้น ทำให้ใจมีความทุกข์มากขึ้น
แต่ถ้ามีสติคอยควบคุมความคิดได้ ใจก็จะว่างจะเย็นจะสบาย ความวุ่นวายก็จะน้อยลงไป ความฟุ้งซ่านก็จะเบาบางลงไปจนหมดไป เวลาจิตสงบเต็มที่แล้วความฟุ้งซ่านหายไปหมด ความกระวนกระวายใจต่างๆ หายไปหมด ความทุกข์ต่างๆ หายไปหมด ความอยากต่างๆ หายไปหมด เหลือแต่สักแต่ว่ารู้ เหลือแต่อุเบกขา ใจเป็นกลาง ใจเฉย ใจไม่ยินดียินร้าย ไม่หิวไม่อยากไม่ต้องการอะไร ใจมีแต่ความอิ่ม มีแต่ความพอ อันนี้เป็นผลที่จะเกิดจากการเจริญสติ ควบคุมความคิดคือสังขารความคิดปรุงเเต่ง ความคิดปรุงเเต่ง ไม่ให้คิดด้วยอุบายของสติซึ่งมีหลากหลายวิธีด้วยกัน วิธีที่เรารู้จักกันได้ยินได้ฟังกัน บ่อยมากที่สุด ก็คือพุทธานุสติ คือระลึกพระพุทธคุณหรือระลึกถึงชื่อของพระพุทธเจ้า เช่นพุทโธๆไป ถ้าระลึกชื่อของพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ใจก็จะไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ พอไม่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดจากความคิดปรุงเเต่งก็จะจางหายไป ทำให้ใจว่าง ใจเย็น ใจสงบ ใจสบาย
นี่แหละคือการเจริญสติเพื่อที่จะได้มีสมาธิ พอมีสมาธิแล้วนี้ เวลาเกิดตัณหาความอยากขึ้นมานี้จะเห็นเลย เหมือนกับน้ำที่นิ่ง เวลามีปลามาขยับในน้ำหน่อยเท่านั้นเองก็จะมีลูกคลื่นเลย อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาใจสงบแล้วพอเกิดความอยากนี้ใจจะกระเพื่อมขึ้นมา จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา พอเห็นอย่างนี้ก็รู้เลยว่า ความอยากนี่เองที่เป็นตัวที่ทำให้ใจนี้ทุกข์ ทำให้ใจไม่สบาย
ดังนั้น ก็จะคอยแก้ปัญหาที่ความอยากนี้ จะไม่ไปแก้ปัญหาจากสิ่งอื่นๆ เช่นอยากให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่ไปแก้ให้สิ่งนั้นเป็นไปตามความต้องการ มาแก้ที่ใจง่ายกว่า แก้ที่ความอยากปล่อยเขาไป เขาจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยเขาไป เราอย่าไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้วเราจะสบายใจ ถ้าเราไปแก้เขา ถ้าวันนี้แก้ได้ก็สบายใจไปเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวเขาเปลี่ยนไปอีกก็ต้องไปแก้อีก ถ้าแก้ไม่ได้ก็ยิ่งเครียดใหญ่ยิ่งทุกข์ใหญ่ แต่ถ้ามาแก้ที่ใจของเรา แก้ที่ความอยากที่เป็นต้นเหตุของความเครียด ของความไม่สบายใจ พอไม่มีความอยากแล้วก็สบายใจ เขาจะเป็นอะไร เขาจะทำอะไร ไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่แก้ที่เขา เราแก้ที่เหตุของเราคือความอยากของเรานี่เอง
ถ้าเราไม่มีสมาธิเราจะไม่เห็นความอยากเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจ ดังนั้นเราต้องเจริญสติให้มากๆ แล้วก็นั่งสมาธิให้สงบให้นานๆ จนชำนาญ สามารถเข้าออกสมาธิได้ ตามเวลาที่ต้องการ อยากจะสงบเมื่อไหร่ก็สงบได้ พอออกมาจากสมาธิมาก็คอยดูใจ ดูจิต ดูตัวความอยากว่ามันโผล่ขึ้นมาหรือยัง ถ้ามันโผล่ขึ้นมาก็ตัดมันทันที ถ้าจะทำตามความอยาก ก็ต้องมีเหตุผลเท่านั้น เช่นอยากจะดื่มน้ำก็ต้องพิจารณาว่า ควรจะดื่มหรือยัง ร่างกายต้องการน้ำจริงเปล่า หรือกิเลสต้องการกินต้องการรสของน้ำ ถ้าต้องการน้ำให้ร่างกายจริงๆ ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอย่าไปดื่มน้ำ ที่กลิ่นมีสีมีรส เพราะอันนี้จะดื่มด้วยความอยาก ไม่ได้ดื่มด้วยความจำเป็น
การรับประทานก็เช่นเดียวกัน รับประทานก็เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่ต้องรับประทาน ถ้ารับประทานวันละมื้อ ถึงเวลารับประทานก็รับไป พอรับประทานเสร็จแล้วหลังจากนั้น ก็จะไม่รับประทานอะไรอีก ก็จะดื่มแต่น้ำเปล่าไป เพียงแต่คอยเฝ้าดูความอยากเสมอ อยากจะไปที่นั่นที่นี่ก็ต้องถามว่า มีความจำเป็นจะต้องไปหรือเปล่า ถ้าอยากจะไปตามความอยากก็อย่าไป อยู่ที่นี่ อยู่กับที่อยู่ให้ติด อย่าให้เหตุผลต่างๆ มาหลอกเราไป ถ้าเราภาวนาแล้วนี้ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องไปเเล้ว จะมาหลอกให้ไปทำบุญก็ไม่ไป จะหลอกให้ไปหาครูบาอาจารย์ที่วัดโน้นวัดนี้เพื่อฟังเทศน์ฟังธรรมก็ไม่ต้องไป
สมัยนี้อยากฟังเทศน์ฟังธรรมหนังสือธรรมะมีเยอะเเยะไป ซีดีธรรมะมีเยอะแยะไป เปิดฟังที่ปฏิบัติก็ได้ เปิดหนังสืออ่านก็ได้ นอกจากว่าซีดีหรือธรรมะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาให้ได้ ถึงจำเป็นจะต้องไปก็ค่อยไป ไปก็ไม่เถลไถล ไปก็ต้องตั้งใจไปเรื่องนี้เรื่องเดียว ไปเสร็จแล้วก็ต้องกลับมาภาวนาต่อ ขังตัวเอง อยู่ในทางจงกรมกับที่นั่งสมาธิ จะไม่ให้ไปทำอะไรอีก
นี่ถ้าเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนาต้องมีความเข้มงวดขันขนาดนี้ ต้องคอยควบคุมตัณหาความอยากที่จะมาหลอก ในรูปแบบต่างๆ กันมากมายก่ายกอง เดี๋ยวก็จะมาหลอกให้ไปดูคนนั้นดูคนนี้เขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็เรื่องของเขาไปดูมันก็ไม่ได้ทำให้เขาหาย เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เราไม่มีหน้าที่ไปรักษาพยาบาลเขา เราก็ไม่ต้องไป งานศพก็ไม่ต้องไป ใครจะตายก็ปล่อยเขาตายไป ถ้าเรายังไม่มีเกี่ยวข้องไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเป็นคนเผาเราก็ไม่ต้องไป
แต่ถ้าเป็นหน้าที่เป็นความจำเป็น เช่นเป็นศพของพ่อของแม่ อย่างนี้ก็มีเหตุผลก็ไป แต่ไม่ใช่ไปมันตะพึดตะพือใครตายก็ไปมันหมดไปทุกงาน อย่างนี้มันจะหลอก มันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ไม่ยอมภาวนา ไม่ยอมเดินจงกรม มันจะหาช่องออกไป อย่างหลวงตานี้ท่านก็ไม่ให้พระรับกิจนิมนต์ วัดป่าบ้านตาดนี้ไม่รับกิจนิมนต์ เพราะถ้านับกิจนิมนต์มันก็เป็นช่องออกของกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาจะได้ออกไปดู รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่พอกลับมาอยู่วัดก็ฟุ้งซ่าน สัญญาอารมณ์ตกค้างอยู่ในใจ รูป เสียง กลิ่น รส ที่ได้ออกไปเห็นก็ยังค้างอยู่ฉายเป็นเหมือนหนังให้ดูตลอดเวลา เวลาจะเจริญสติทำใจให้สงบ มันก็ไม่ยอมสงบ เพราะมันไปคิดถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ได้ไปสัมผัสรับรู้มา
นี่การออกไปข้างนอกจึงเป็นภัย เป็นอันตรายต่อการภาวนาอย่างมาก เพราะเป็นการเสริมนิวรณ์คือ กามฉันทะนี่เอง ความอยากใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงต้องระมัดระวัง ถ้าเป็นนักภาวนาแล้ว ก็ต้องตัดงานต่างๆ ออกไปให้หมดเลย ยิ่งถ้าคิดว่าตายจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้ยิ่งดีใหญ่ ตายจากทุกคนพ่อแม่พี่น้อง ถือว่าตายจากกันแล้ว ไม่ต้องเจอกันแล้ว ขอช่วงนี้ขอให้ตายจากกัน แต่หลังจากที่ทำงานนี้เสร็จแล้วค่อยกลับไปเจอะ เจอกันใหม่ได้ไม่เป็นปัญหา อย่างพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระราชวัง ๖ ปีนี้ไม่ได้ออกไปเลย แต่หลังจากที่ตรัสรู้แล้วทีนี้ก็กลับไปโปรดได้ ไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว ไม่มีกิเลสตัณหาแล้วไปแบบไม่มีกิเลสตัณหานี้ไม่เป็นพิษเป็นภัยแล้ว แต่ถ้าไปแบบกิเลสตัณหานี้มันจะเผาหัวใจอยู่เรื่อยๆ เวลาอยู่ก็เผาเวลาไปก็ไปเผา เวลากลับมาก็เผาอีก เพราะมันจะมีความอยากอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง ดังนั้นเราต้องมาเผากิเลสตัณหาให้มันหมดไปจากใจให้ได้เสียก่อน พอไม่มีกิเลสตัณหาแล้วทีนี้จะไปไหนก็ไม่มีปัญหาอะไร จะไม่มีอะไรที่จะมาเผาจิตเผาใจอีกต่อไป
นี่คือเรื่องของชีวิตของเราที่มีส่วนประกอบอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน คือร่างกายกับใจ ร่างกายก็มีอาการ ๓๒ ใจก็มีอาการ ๔ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องสอนสัญญาใหม่ สอนสัญญาของใจให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอสุภะ เป็นปฏิกูล เป็นดินน้ำลมไฟ มีสิ่งเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสื่อมไม่หมดไม่หายไปก็คือใจดวงเดียวนี่เอง ให้รักษาใจดวงนี้ไม่ให้ทุกข์ พอไม่ทุกข์แล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไร ใจก็จะอยู่อย่างมีความสุขไปตลอด
*ธรรมะบนเขา วันที่ 29 กันยายน 2556 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี