9 กรกฎาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีผู้โพสต์เฟซบุ๊กนามว่า "Jiratchaya Rangsaritwirachot" เกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อตนเองที่ได้เข้าคิวรักษาตัวที่โรงพยาบาลเบตง ขณะที่นั่งรอคิวที่จุดคัดกรองเป็นเวลานาน เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าพ่ออาการไม่หนัก ความดันปกติ
น.ส.จิรัชญา รังสฤษฏิ์วีระโชติ ลูกสาวผู้เสียชีวิต กล่าวว่า วันเกิดเหตุคือวันอาทิตย์ ที่ 7 ก.ค. ช่วงบ่าย ตนได้พาพ่อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบตง เนื่องจากพ่อเป็นโรคชิคุนกุนยา เจ็บข้อเดินไม่ได้ แต่พอวันที่ 2 ก็สามารถลุกขึ้นได้เพราะได้ต้มยาหม้อให้ทาน แต่พอวันที่ 3 ก็เกิดอาการเพลีย ตนจึงพาไปโรงพยาบาล พอถึงจุดคัดกรองก็รอคิว หลังจากวัดความดันเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งคอย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตรวจคนที่มารอคิวต่อไป
และนำเข้าไปในห้องฉุกเฉินก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมพ่อถึงไม่ได้เข้า จะได้เข้าเมื่อไหร่ ตอนถามเจ้าหน้าที่ก็จับหน้าพ่อรู้สึกว่าพ่อตัวเย็น เสื้อเปียก แต่พ่อไม่พูดอะไรนั่งหลับ ตนจึงเข็นพ่อไปที่เจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็วัดความดันอีกครั้ง ก็พบว่าความดันต่ำจึงได้นำเข้าห้องฉุกเฉินไป และได้เสียชีวิตช่วงเวลา 17 นาฬิกา ทำให้ตนมีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่บริการล่าช้า จึงทำให้พ่อเสียชีวิต จึงได้นำรูปพร้อมเขียนข้อความในเฟส ส่วนสาเหตุที่ลงเฟสเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข
ด้าน นายแพทย์ยุทธนา รุ่งธีรานนท์ นายแพทย์ชำนาญการ อายุรแพทย์โรงพยาบาลเบตง ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากได้รับตัวคนไข้จากห้องฉุกเฉินมาอยู่ในห้องไอซียู ประเมินอาการโดยรวม คนไข้อาการยังไม่คงที่มีอาการมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นเร็ว ประมาณ 130 ครั้ง ต่อนาที ความดันต่ำ ทางแพทย์ก็รีบช่วยดูแลรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนสาเหตุที่คนไข้เสียชีวิต เนื่องจากมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ประกอบกับคนไข้มีความดันลดลง
ด้าน แพทย์หญิงปัทมพันธ์ อนันตาพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง จ.ยะลา ได้ออกมาชี้แจงให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากมีข่าว ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการเรียกประชุมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารต่างๆ กล้องวงจรปิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อหาสาเหตุ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เจ้าหน้าที่คัดกรอง ซึ่งเป็นพนักงานเวชกิจฉุกเฉินได้ตรวจอาจการผู้ป่วยก่อน เพื่อแบ่งระดับความหนักเบาของผู้ป่วย หากผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็จะนำเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ในกรณีที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่จุดคัดกรองได้ตรวจวัดความดันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งความดันขณะนั้นอยู่ที่ 144/ 80 ซึ่งถือว่าปกติ จึงจัดเป็นผู้ป่วยในโซนสีเขียว คือเจ็บป่วยเล็กน้อย จึงได้ให้นั่งคอยตามคิว ส่วนที่ว่ามีการแซงคิว เนื่องจากมีผู้ป่วยอีกคนที่มาทีหลัง แต่ตรวจวัดความดันพบว่าความดันต่ำ อยู่ที่ 75/38 ซึ่งถือว่ามีอาการหนักกว่า เป็นผู้ป่วยในโซนสีชมพู คือ เจ็บป่วยรุนแรง เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวเข้าห้องฉุกเฉินก่อน
ส่วนที่มีภาพถ่ายว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีความดันระดับต่ำ อยู่ที่ 75/38 ก็ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็น ค่าการวัดความดันของผู้ป่วยที่เจ้าหน้าที่ได้นำเข้าห้องฉุกเฉินไปก่อนหน้านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้กดรีเซตเครื่อง ส่วนที่ว่าบริเวณจุดคัดกรองไม่ใช่พยาบาลนั้น สำหรับเหตุการณ์นี้ เนื่องจากภายในห้องฉุกเฉินก็มีผู้ป่วยอาการหนักอยู่ วันเกิดเหตุ พนักงานเวชกิจฉุกเฉินโรงพยาบาลเบตง ซึ่งมีหน้าที่ให้การช่วยเหลือคนไข้หรือผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ เช่น การให้น้ำเกลือ การใช้ท่อช่วยหายใจ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การดูแลคนไข้บนรถพยาบาลฉุกเฉินจนถึงโรงพยาบาล เป็นต้น
ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เรียนจบทางด้านเวชกิจฉุกเฉินจะประจำอยู่ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล และในบางครั้งออกมาช่วยเหลือผู้ป่วยอาการหนักหรือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุด้วยนอกโรงพยาบาลด้วย จึงได้มาช่วยที่บริเวณจุดคัดกรอง จึงทำให้ญาติคนไข้อาจไม่เข้าใจ ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ : สาวตัดพ้อ! เสียพ่อเพราะรอคิวนาน แนะรพ.ควรปรับปรุงจุดคัดกรอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี