“โครงการแนวโน้มผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการใช้ที่ดินต่อศักยภาพการพัฒนาน้ำบาดาลในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยหลวง” ซึ่งสนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือชื่อเดิมคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดำเนินการศึกษาพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยหลวง อันเป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่สำคัญของ จ.อุดรธานี
โครงการนี้ดำเนินการควบคู่ไปกับการศึกษาแนวโน้มการแพร่กระจายดินเค็มในอนาคต 10-30 ปีข้างหน้า ลุ่มน้ำห้วยหลวงเป็นลุ่มน้ำที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งภูมิภาค ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,900 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.)อยู่ในเขต จ.อุดรธานี หนองบัวลำภู และหนองคาย พื้นที่ประกอบด้วยภูเขาพื้นที่ลูกคลื่นลอน และที่ราบลุ่ม มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 160-200 เมตร
“พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยหลวงรองรับด้วยกลุ่มหินโคราช ที่มีหน่วยหินมหาสารคามรองรับอยู่ ซึ่งเป็นชั้นหินที่มีเกลือหินแทรกตัวอยู่ พื้นที่บางแห่งจึงพบน้ำบาดาลเค็ม โดยเฉพาะบริเวณที่มีชั้นเกลือหินแทรกตัวในระดับตื้นๆ ทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยหลวง มีข้อจำกัดในการพัฒนาน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์ หากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือมีการพัฒนาใช้น้ำบาดาลจนเกินสมดุล หรือเกินศักยภาพของแหล่งน้ำบาดาลอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการรุกตัวหรือกระจายตัวของน้ำบาดาลเค็มในอนาคต”
หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องนี้โพยม สราภิรมย์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำใต้ดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า การทำวิจัยที่ลุ่มน้ำห้วยหลวง มี 2 ประเด็นที่สนใจ คือ 1.ปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ และ 2.ประเด็นการกระจายตัวของน้ำเค็มในอนาคตภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนปลาย บริเวณที่บรรจบกับลุ่มน้ำโขงฝนมาก แต่ตอนที่ลึกเข้ามาในแผ่นดินไปทาง จ.อุดรธานี และหนองบัวลำภู จะค่อนข้างแห้งแล้ง
ทั้งนี้ข้อเท็จจริงคือ “ในภาคอีสานถ้าใช้น้ำบาดาลเยอะปัญหาแรกที่จะเจอคือน้ำเค็มเข้า ต่างจากกรุงเทพฯ ถ้าใช้น้ำบาดาลมากดินจะทรุดก่อนแล้วน้ำเค็มค่อยเข้า” ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนเดินเหนียวอ่อนเมื่อสูบน้ำจากดินจะเป็นน้ำบาดาลในตะกอน พร้อมจะยุบตัวถ้าเกิดความดันใต้ดินลดลง แต่ภาคอีสานเป็นน้ำบาดาลในหิน การสูบน้ำในหินไม่ได้ทำให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดิน แต่เกลือที่อยู่ใต้หินที่เราใช้น้ำ มันมีความเค็มพร้อมที่จะกระจายความเค็มหรือค่าคลอไรด์เข้ามาในบ่อบาดาล แล้วจะใช้ไม่ได้
โพยมยกตัวอย่างข้อสังเกตหนึ่ง“จะเห็นว่าบ่อบาดาลในภาคอีสานเป็นบ่อทิ้งร้างจำนวนมาก เจาะกันใช้ปีเดียว พอปีหน้าน้ำเค็มเข้าก็ใช้ไม่ได้ ต้องหาที่เจาะใหม่ไปเรื่อยๆ” แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ “ยังไม่รู้ว่าปริมาณการใช้น้ำบาดาลที่แท้จริงเป็นเท่าใด เพราะมีบ่อที่ไม่ได้อยู่ในระบบทะเบียนอยู่ไม่น้อย” เช่น อยู่ในป่าอ้อย ในบ้านในวัด ในโรงเรียน ฯลฯ ที่ไม่มีข้อมูลการขุดเจาะ อาทิ เจาะลึกเท่าไร และสูบน้ำขึ้นมาใช้เท่าไร “ในแอ่งแถวอีสานมีที่รู้ประมาณเพียงกว่าร้อยละ 10แต่อีกกว่าร้อยละ 80 ยังไม่รู้” คำถามคือจะรวบรวมข้อมูลบ่อเหล่านี้อย่างไรแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร
“บริเวณที่พบว่ามีน้ำเค็มมาก คือบริเวณที่มีเกลือใกล้ผิวดิน เพราะฉะนั้นนอกจากความลึก ความหนาของเกลือเหล่านี้ ระบบการไหลของน้ำบาดาลก็คือส่วนสำคัญ เพราะน้ำบาดาลไหลพาเกลือไป เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศฝนตกน้อยหรือมาก การไหลพาเกลือไปจึงมีการเปลี่ยนแปลงด้วย ขณะเดียวกันถ้าปีไหนแล้งติดต่อกันนาน เรายิ่งใช้น้ำบาดาลมาก ทำให้ต้นทุนของน้ำบาดาลยิ่งน้อยลงน้ำเค็มก็จะยิ่งขึ้นมา นี่เป็นปัญหาใหญ่ในช่วงหน้าแล้ง ยิ่งแล้งติดต่อกันหลายๆ ปี ยิ่งมีผลกระทบมาก”
ผอ.สถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำใต้ดิน ม.ขอนแก่น อธิบายเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาชั้นดินชั้นหินทางธรณีวิทยาและการประเมินปริมาณน้ำบาดาลที่ใช้ได้อย่างยั่งยืน(Sustainable yield) โดยใช้แบบจำลองเชิงคณิตศาสตร์ ทำให้ทราบว่า บริเวณไหนเกลืออยู่ตื้น-ลึกขนาดไหน น้ำบาดาลตรงไหนเค็มมาก เค็มน้อย ถ้าต้องการจะพัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ควรจะไปใช้ตรงไหนและใช้ได้เท่าไรในสภาวะไหน ถ้ามีฝนปริมาณนี้ใช้น้ำได้ประมาณไหน
โดยใช้สภาพภูมิอากาศในอนาคตมาจำลองว่าน้ำในอนาคตจะไหลลงไปใต้ดินเท่าไร และจะไหลพาเอาความเค็มไปทางไหน โดยใช้สัญลักษณ์สีเป็นตัวกำกับความเค็ม แบ่งเป็น3 ระดับ “สีฟ้า” คือน้ำจืด “สีเขียว” คือน้ำกร่อย และ “สีแดง” คือน้ำเค็ม พบว่า “ในปี 2580-2590 พื้นที่ตรงที่ไม่เคยแดงก็จะแดง โดยเฉพาะแถว อ.กุดจับ จ.อุดรธานี หรือก็คือระดับความเค็มจะมากขึ้น” นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำขัง-ดินเค็ม ในพื้นที่ จ.อุดรธานี ได้แก่ ต.เชียงยืน ต.ปะโค ต.กุดสระ
และในปี 2570 วิกฤติดังกล่าวจะขยายตัวลามไปยังพื้นที่ ต.สามพร้าว และ ต.นาข่า ดังนั้นการพัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาใช้พื้นที่ ต้องมีการเฝ้าระวังระดับน้ำบาดาลและความเค็มของน้ำบาดาล ต้องมีการวางแผนไม่ให้เกิดการใช้น้ำบาดาลเกินศักยภาพตามปริมาณการใช้ตามสภาพภูมิอากาศและการใช้ดินที่เปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันการแทรกตัวของน้ำบาดาลเค็ม เข้ามาในบ่อบาดาลที่มีอยู่แล้ว
โพยมฝากทิ้งท้ายว่า แม้น้ำบาดาลจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นแหล่งน้ำอุปโภค-บริโภค อุตสาหกรรมผลิตน้ำแร่สารพัดยี่ห้อ กระทั่งประปาหมู่บ้านล้วนแล้วแต่อาศัยแหล่งน้ำจากใต้ดินทั้งสิ้น แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยมีการนำเรื่องน้ำบาดาลมาอยู่ในแผนที่เดียวกับแหล่งน้ำผิวดินเวลาบริหารจัดการน้ำ การบริหารจัดการน้ำนั้นต้องทำทั้งน้ำบนดินและน้ำบาดาล
ที่ผ่านมาการวางแผนน้ำส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแผนการจัดการน้ำผิวดิน ทั้งที่มีพื้นที่พึ่งพาการใช้น้ำบาดาลเป็นหลักจำนวนมาก!!!
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี