ปัญหาโลกแตกของคนกรุงเทพฯ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “รถติด” กับ “มลพิษ” เมื่อประชาชนส่วนใหญ่หันมาใช้รถส่วนตัวกันมากขึ้น เพราะมันสะดวกสบายกว่าเมื่อต้องไปยืนรอรถเมล์ “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้พูดคุยกับ “น้องออน” หรือ น.ส.ศิริลักษณ์ เกศนุภานนท์ อายุ 20 ปี สาวสวยสาขาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเติบโตอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด
น้องออน บอกกับทีมข่าวฯ ว่า กรุงเทพมีการเปลี่ยนแปลงไปมากหากเทียบกับเมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งปลูกสร้าง ถนน บ้านเรือน ตึกสูงที่แต่ก่อนเรารู้จักแค่เพียง “ตึกใบหยก” ที่เหมือนเป็นศูนย์กลางกรุงเทพด้วยความสูงเฉียดฟ้าทำให้ผู้คนอยากจะไปสัมผัส แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็น “ตึกมหานคร” ที่สูงและน่าดึงดูดให้คนอยากขึ้นไปอยู่บนนั้นมากกว่าแล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อมีการปลูกสร้างต่างๆมากมายก็จะความเจริญเข้ามามากขึ้น ซึ่งก็มักจะนำปัญหาตามมาด้วยอย่างปัญหา “มลพิษ” ที่เกิดจากการก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า บ้าน คอนโดที่ “ขุด-เจาะ” กันทั้งวันทั้งคืนทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่ว บวกกับมลพิษจากการใช้รถต่างๆอีกยิ่งทวีคูณมลพิษเพิ่มขึ้น ในเมื่อเราหยุดการพัฒนาการก่อสร้างไม่ได้ แต่เราก็หันมาร่วมกันใช้บริการรถสาธารณะได้ เพื่อลดปัญหามลพิษอีกทาง
น้องออน เล่าถึง ประวัติรถเมล์ ให้ฟังอีกว่า... แนวคิดรถเมล์มีมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.2450 โดยพระยาภักดี นรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร) เป็นผู้ริเริ่มกิจการ สมัยก่อนยังไม่มีเครื่องยนต์หรือเชื้อเพลิงก็ใช้ม้าในการลากจูงแทน ต่อมามีแผนว่าอยากให้มีความเร็วมากกว่านี้และวิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้น จึงมีการนำรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดมาใช้วิ่งแทนม้า จากนั้นก็มีกิจการรถเมล์โดยสารสาธารณะเรื่อยมาทำให้มีทั้งกลุ่มเอกชนและรัฐวิสาหกิจแข่งขันกันก่อตั้งบริษัทโดยสารขึ้น ทำให้เกิดเหตุทะเราะกันบ่อยๆเพราะแย่งเส้นถนนวิ่งรถกัน แต่ด้วยต้นทุนสูงทำให้บริษัทต่างๆยุบตัวมารวมไว้เพียงหน่วยงานเดียวจึงกลายมาเป็น “องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. ก็จัดเป็นสาธารณูปโภคสวัสดิการหนึ่งของรัฐที่ให้บริการเรื่องของการคมนาคมชนส่งและการเดินทาง เพื่อให้เราทุกคนเดินทางได้สะดวกและราคาไม่แพงเกินกำลังเรารับไหว
“พ่อเคยเล่าว่าคนไทยใช้บริการรถเมล์มา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ค่าโดยสารเพียง 1 บาท ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่รถธรรมดาไม่มีแอร์ก็เริ่มต้นที่ 10 บาทแล้ว แต่การบริการก็ยังเหมือนเดิมคือ ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถที่เก่าจนสนิมเกาะดูไม่รู้ว่าจะวิ่งไปถึงที่เราจะลงหรือเปล่า ควันดำ คนขับขับรถเร็วปาดซ้ายปาดขวา บางครั้งระหว่างขับอยู่คนขับก็ตะโกนคุยกับคันข้างๆ แต่ที่เห็นบ่อยๆคือจอดไม่ตรงป้าย หรือวิ่งเลนนอกไม่รับผู้โดยสารทั้งที่เห็นว่าเรายืนโบกอยู่ ทั้งที่ยืนคอยเป็นชั่วโมงรถเมล์ยังไม่จอดรับอีกมันเลยทำให้เสียอารมณ์เสียความรู้สึกมาก” น้องออน กล่าว
ขณะที่ปัญหาของการยืนคอยรถที่ “ป้ายรถเมล์” ที่เจอบ่อยคือ “รถจอดแช่ป้าย” อย่างบริเวณสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินสถานีต่างๆ พอมีรถเมล์จอดแช่นานๆคันอื่นๆที่มาถึงก็เข้าป้ายไม่ได้ คนก็ไม่ได้ขึ้นตรงป้าย ต้องเสี่ยงเดินไปขึ้นบริเวณเกาะกลางถนน บางพื้นที่ไม่มีป้ายรถเมล์บ่งบอกชัดเจนต้องสังเกตเอาว่าคนส่วนใหญ่ยืนรอรถกันตรงไหน ขณะเดียวกันในเรื่องของพฤติกรรมคนขับที่มักชอบด่ากราดผู้โดยสารบ้าง ก็ด่าคนขับรถบนท้องถนนด้วยกันบ้างซึ่งตรงนี้ยังไม่เห็นมีการได้รับการแก้ไขอย่างใด เพราะทำให้เห็นอยู่เป็นประจำ
น.ส.ศิริลักษณ์ เกศนุภานนท์ ยังบอกอีกว่า สำหรับเรื่องที่ว่ารถเมล์เป็นปัญหาของรถติดนั้น ก็คิดว่ามีส่วนแต่ไม่ทั้งหมด เพราะไม่ได้สร้างปัญหาการจราจรเท่ากับรถแท็กซี่หรือรถส่วนตัว ที่รถติดอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการใช้รถส่วนตัวซะส่วนใหญ่คือเลนถนนน้อยกว่ารถที่วิ่ง ถ้าจะให้ยกเลิกรถเมล์ก็ไม่สมควรอยู่ดีแต่ควรจำกัดปริมาณรถส่วนตัวมากกว่า เพราะครอบครัวนึงมีรถ 4 คันก็ขับออกมาทำงานพร้อมกัน 4 คันรวดนี่ก็เพิ่มปริมาณรถในถนนเพิ่มขึ้นแล้ว อาจเพราะว่าปัจจุบันการออกรถยนต์นั้นง่ายนิดเดียวเพราะมีฟรีดาวน์ คือ ดาวน์ 0 เปอร์เซ็นต์ก็ได้รถออกมาขับสบายๆ ต่อให้ไม่มีกำลังผ่อนก็ออกรถมาขับได้ ถึงเวลาก็ปล่อยให้รถถูกยึดก็มีปัญหารถมือสองล้นตลาดขึ้นอีก
ดังนั้นถึงเวลาหรือยังที่ภาครัฐและเอกชนต้องหันมาร่วมมือกันอย่างจริงจังในเรื่องของการจัดการปัญหารถติด โดยต้องเริ่มจากต้นทางคือปรับนโยบายการออกรถใหม่ ให้มีความยากขึ้นโดยตรวจสอบให้ถี่ถ้วนจำกัดอัตรารายได้ที่ชัดเจนขึ้น ก็จะลดปัญหาปริมาณรถบนท้องถนนได้ ขณะเดียวกันปัญหารถติดก็มาจากการก่อสร้างด้วยนี่จึงเป็นปัญหาหลักๆของกรุงเทพที่เจอทุกวันเช่นกัน
“การที่เราจะลดปัญหารถติดในกรุงเทพได้นั้น เราต้องทำให้คนหันมาใช้บริการรถสาธารณะหรือรถเมล์ได้ก่อนโดยปรับปรุงคุณภาพรถ และปรับราคาค่าโดยสารให้สมดุลกับค่าครองชีพหรือรายได้ของคนไทยด้วย อย่างราคารถไฟฟ้าที่สูงลิ่วทั้งที่คนใช้บริการทุกวันแต่กลับบอกว่าขาดทุน คือมันไม่สอดคล้องกัน แต่ถ้ารัฐบอกว่าช่วยเรื่องค่าโดยสารแล้ว แต่ความคิดของตนกลับมองว่ายังไม่ได้ช่วยเท่าไร คือเรื่องของกำไรผลประโยชน์ควรเดินไปพร้อมกับรายได้ของประชาชนด้วย ถ้ารัฐจัดการค่าโดยสารให้ถูกกว่าเดิม และประชาชนบวกลบเห็นความต่างของรายจ่ายเรื่องค่าเดินทางระหว่างโดยสารรถสาธารณะกับรถยนต์ส่วนตัวได้ ก็จะหันมาใช้บริการกันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องปรับปรุงแก้ไขคุณภาพรถเมล์โดยสารด้วย คือ ลงทุนทีเดียวและเอาเงินค่าโดยสารจากประชาชนมาใช้เป็นการบำรุงรักษา จะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะพัฒนาสนับสนุนรถโดยสารก่อน” น้องออน กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี