วันที่ 10 มีนาคม 2563 นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงกรณีที่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล หรือโครงการผันน้ำยวมสู่เขื่อนภูมิพล ว่า ปัญหาตรงนี้ คือ การศึกษาเติมน้ำสู่เขื่อนภูมิพล ตั้งแต่ 30 ปีที่ที่ผ่านมา จนวันนี้เรื่องมาถึงกรมชลประทาน ปัญหาคือในเขื่อนภูมิพลที่จุน้ำได้กว่า 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตรไม่เต็มอ่าง เราจะทำอย่างไรให้เติมน้ำให้เต็มอ่าง จึงได้ศึกษาตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา สิ่งแรกเราจะต้องเอาน้ำในประเทศเราก่อน คือ แม่น้ำยวม ยาวกว่า 200 กิโลเมตร จะไปลงที่แม่น้ำเมย และแม่น้ำสาละวิน จึงจะเอาน้ำเฉพาะในช่วงฤดูฝน 3-4 เดือน ซึ่งเราจะเอาน้ำมาเติมให้เขื่อนภูมิพลเกือบ 1,900 ล้านลูกบาศก์เมตร ในแต่ละปี จากนั้นเราก็ได้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมมา 2 ปี
“ผมไปล่องเรือลงพื้นที่หลายครั้งจะไม่รู้จักผมได้อย่างไร ก็ได้ชีแจงผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่เขาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่รู้ใจเขา เพราะยังไม่ได้เข้าไปสร้าง แค่ไปบอกวิธีการดำเนินการต่างๆ แล้วคนที่ได้รับผลกระทบมีประมาณไม่เกิน 30 ราย ที่ดินตรงนั้นเป็นป่าไม่เหมือนหมู่บ้านจึงใส่ตัวเลขให้เห็นภาพชัด ซึ่งที่ดินตรงนี้ก็เป็นที่เข้าไปหาของป่า หาของกิน หาเห็ด หรือเข้าไปปลูกต้นไม้ก็แล้วแต่ ซึ่งเข้าไปทำได้ตามสิทธิที่ได้รับอนุญาตทำกิน แต่เรื่องเอกสารก็ค่อยว่ากันไป จึงเกิดข้อเป็นห่วงขึ้นมาว่าหากมีการสร้างโครงการดังกล่าวขึ้นมา และได้บอกว่าจะทำตามสิทธิทุกอย่างคนมีเอกสารสิทธิก็ได้ไปอย่างหนึ่ง คนไม่มีเอกสารสิทธิก็ได้ไปอย่างหนึ่ง กรมชลประทานไม่ได้ทำโครงการนี้แห่งแรก แต่ทำมาหลายโครงการแล้ว ซึ่งชาวบ้านเข้าไปทำกินอยู่แล้วในหลายพื้นที่” นายเฉลิมเกียรติ กล่าว
รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอีกว่า หากมีการบอกว่าการใช้ภาษาในการสื่อสารกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง ใช้ล่ามสื่อสารไม่ตรงภาษาถิ่น หากจัดครั้งหน้าทางเราจะจัดให้มีล่ามที่เข้าใจภาษาทุกภาษาก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ พวกเขาไม่ยอมออกจากพื้นที่ จึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน เพราะพวกเขาก็มีสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอยู่แล้ว สำหรับพื้นที่ป่าที่ใช้ทำกินก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ป่าที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะเป็นอุโมงค์ลอดใต้ภูเขา ซึ่งจะเจอเฉพาะวัสดุที่เป็นหิน แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างบนก็ไม่ได้ล้มตาย แต่เราก็ต้องขออนุญาตตามกฎหมายของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
มันเป็นกรรมวิธีของการทำอุโมงค์ผันน้ำที่จะต้องเจาะหินและทรายออกมา จากนั้นก็นำมากองไว้แล้วเกลี่ยเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำ และตามมาก็จะต้องปลูกต้นไม้ เพราะเป็นการแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้กลับมาเหมือนเดิม แต่การนำกองดินมากองไว้มันก็ได้รับผลกระทบบางส่วน เพราะเป็นพื้นที่ป่า แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไปสร้างโครงการแล้วกินพื้นที่ป่าไป 1,000 กว่าไร่ เราก็จะต้องไปปลูก 2,000 กว่าไร่
“หากขั้นตอนการสำรวจผ่าน ก็จะต้องมาดูว่ารัฐบาลจะเห็นด้วยกับงบประมาณหรือไม่ เพราะใช้งบกว่า 70,000 ล้านบาท สมมุติว่ามีแบบพร้อมผ่านขั้นตอนรัฐบาลอนุมัติงบ คาดว่าในปี 2563 อาจจะยังไม่ผ่านเรื่องการสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และหากในปี 2564 อาจจะเป็นไปได้ ปี 2565 พร้อมที่จะมีการสร้างโครงการนี้ด้วยงบประมาณ 70,000 ล้านบาท อาจจะใช้ระยะเวลาในการสร้างประมาณ 7-8 ปี เพราะอุโมงค์มีความยาว 62 กิโลเมตร ผมยอมรับว่ามีผลกระทบ แต่ช่วงที่มีการผันน้ำทำในช่วงฤดูฝน ทั้งนี้ ในช่วงฤดูร้อนคนก็สามารถเข้าไปหาของป่า ไปเก็บผลไม้ เก็บเห็ด หรืออะไรก็แล้วแต่ได้ ซึ่งในช่วงหน้าฝนก็ไม่มีใครเข้าไปอยู่แล้วเพราะมันอันตราย ผมพยายามศึกษาให้ถึงแก่นแล้วว่าพวกเขายังมีความกังวลอะไร” รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี