"การอธิบายเรื่องการปฏิบัติพระกรรมฐานในวันนี้ ขออธิบายเรื่องธรรมานุสสติกรรมฐาน อนุสสติทั้ง ๑๐ ประการ มีพุทธานุสสติ เป็นต้น และมีอานาปานสติเป็นปริโยสาน ตามแบบฉบับท่านบอกว่า ทรงได้แค่เฉพาะอุปจารสมาธิ ไม่สามารถจะเข้าถึงฌานได้ แต่ทว่าถ้าเรามีความฉลาด เราก็สามารถจะทำอนุสสติทั้งหมดเข้าถึงสมาบัติ ๘ ก็ได้ แล้วก็เป็นบาทของวิปัสสนาญาณ เข้าถึงวิปัสสนาญาณเบื้องสุด ถึงอรหัตผลก็ได้ นี่เป็นเรื่องของความฉลาด หรือความโง่ของนักปฏิบัติ
สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐาน ท่านแปลว่า นึกถึงความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ อนุสสติแปลว่าตามนึกถึง ธรรมา คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีทั้งหมดด้วยกัน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราจะไปนำเอาธรรมะทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มานั่งใคร่ครวญในเวลาเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องถือเอาหัวใจของพระศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเป็นปัจฉิมวาจา คือว่าเป็นการประกาศให้บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่ไปประกาศพระศาสนาถือเป็นแบบฉบับ เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ว่า
สัพพปาปัสสะ อกรณัง ท่านทั้งหลายจงแนะนำให้ชาวบ้านทั้งหลาย จงละความชั่วเสียทั้งหมด
กุสลัสสูปสัมปทา จงประพฤติปฏิบัติแต่ความดี
สจิตตปริโยทปนัง จงทำอารมณ์จิตของตนให้ผ่องใส
เอตัง พุทธาน สาสนัง ท่านทรงรับรองว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด
เวลาที่เราจะพิจารณาพระธรรมตามแบบของอนุสสติที่เรียกว่าเป็นอุปจารสมาธิเป็นอันดับสูงสุด ก็มาพิจารณากันใน ๓ ข้อนี้ เรานึกไว้เสมอว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดเราจะไม่ทำ แล้วความชั่วอันดับหยาบที่เราจะมองเห็นกันได้ง่าย ก็คือ การละเมิดศีล ๕ ประการ เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด หากว่าเราไม่ละเมิดศีล ๕ ประการได้ ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่ว ถ้าเรายังละเมิดศีล ๕ ประการอยู่ ก็ชื่อว่า เรายังทำความชั่วอยู่ ใช้ไม่ได้นี้เราก็มานั่งใคร่ครวญจิตของเราว่า จิตของเราน่ะยอมรับนับถือความดีในศีล ๕ ประการแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามหาทางริดรอนความชั่วเสีย ถือว่าการละเมิดศีล ๕ ประการ ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม ไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตที่จะต้องละเมิด
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเลี้ยงชีพไม่มีความจำเป็น อยากจะกินเนื้อสัตว์ ชาวบ้านเขาฆ่าขายถมไป เราไปซื้อมากินได้ หรือว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์เลย เขากินเจกันอิ่มหมีพีมันอ้วนพีกันด้วยประการทั้งปวง ช้างก็ดีควายก็ดีม้าก็ดี กินหญ้ามีกำลังดีกว่าคนตั้งเยอะแยะ นี่ขึ้นชื่อว่าอาหารไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อสัตว์เป็นมาตรฐาน แต่ว่าถ้ามีโดยเราไม่จำเป็นจะต้องฆ่าเราก็กินได้ ถ้าเราจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ให้ตาย เป็นการทำลายชีวิต เป็นการสร้างความชั่ว เราไม่เอา นี่ถือว่าข้อนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องละเมิด
ข้อที่ ๒ การลักการขโมยทรัพย์สินของบุคคลอื่น การยื้อแย่งคดโกงเขา ก็ไม่มีความจำเป็น เราจะยื้อแย่งคดโกงเขามาได้มากสักเท่าไรก็ตาม เราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกันหมด มีมากก็แก่ก็เจ็บก็ตาย มีน้อยก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน ซึ่งมันไม่มีความสำคัญในการที่มีชีวิตมีทรัพย์มากทรัพย์น้อย
ข้อที่ ๓ การละเมิดศีลข้อที่สาม คือข้อกาเมสุมิจฉาจาร การร่วมรักในสตรีระหว่างเพศ อยู่ในเขตแห่งการหวงแหน ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนดี ไม่ได้สร้างตนให้เป็นคนหนุ่ม ไม่ได้สร้างคนให้เป็นมหาเศรษฐีอนุเศรษฐีขึ้นมาได้ มีเมียมาก มีเมียน้อย มีผัวมาก มีผัวน้อย มันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตายเหมือนกัน
การทรงชีวิตอยู่ เราทรงอยู่ด้วยความสุจริต เราไม่มีการทุจริต แล้วก็ทรงชีวิตอยู่ได้ แต่การกล่าววาจาทุจริตหมายถึงว่าการโกหกมดเท็จเพื่อยังชีพความเป็นอยู่ เราปรารถนาความสุข มันก็หาความสุขจริงๆ ไม่ได้ มันก็แก่ก็เจ็บก็ตายเหมือนกัน เราจะไปโกหกเขาทำไม
การดื่มสุราเมรัยเป็นการบั่นทอนชีวิต บั่นทอนปัญญา สร้างโรคภัยไข้เจ็บให้เกิดแก่ร่างกาย ทำลายประสาทให้มัวหมอง เป็นคนไร้สติสัมปชัญญะ มีสติฟั่นเฟือน มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คนที่เขาไม่กินเหล้าเมายา เขาก็ทรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องละเมิด
นี่เราก็ใคร่ครวญดูว่าพระธรรมคำสั่งสอนข้อแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำได้ไหม นี่เราถือธรรมมานุสสติกรรมฐานไม่ใช่ไปนั่งภาวนาว่าพุทโธเฉยๆ ภาวนาพุทโธเฉยๆ นั่นเป็นการทรงอารมณ์จิตเป็นฌาน แต่ทว่าเราต้องควบคุมอารมณ์อย่างนี้ไว้ด้วยว่าเราจะไม่ละเมิดข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามในด้านศีล แล้วในส่วนธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่าไม่สมควรปฏิบัติ อย่างอคติ ๔ เป็นต้น และตัวอิจฉาริษยาก็ตาม อย่างนี้เราก็ต้องไม่มีในใจของเรา เป็นอันว่าถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จิตใจของเราไม่คบมันได้ ไม่สนใจกับมัน คอยระมัดระวังไว้ไม่ให้เกิดขึ้นกับใจของเรา ก็ชื่อว่าเราไม่ทำความชั่วตามที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้แล้วในข้อต้น อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐานได้หนึ่งในสาม
ธรรมานุสสติในข้อที่สอง พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำแต่ความดี ก็คือให้เราทรงศีลห้าประการให้บริสุทธิ์ ทรงพรหมวิหารสี่ให้ปกติ พรหมวิหารสี่ก็คือเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย กฎธรรมดาเข้ามาถึงตัว ความป่วยไข้ไม่สบาย การกระทบกระทั่งแห่งจิต ที่มันเป็นกฎธรรมดาของชีวิตของบุคคลที่เกิดมา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตใจของเราไม่หวั่นไหว อย่างนี้ชื่อว่า เราทำความดีแล้ว รักษาความดีนี้ไว้ให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ถ้าจิตใจของเราทรงไว้ได้อย่างนี้ แสดงว่าเราได้สองในสามของความดีที่จัดว่าเป็นธรรมานุสสติกรรมฐาน
สจิตตปริโยทปนัง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้เราทำจิตให้ผ่องใส อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำให้เรานึกถึงกฎธรรมดาไว้เป็นปกติ ว่าสภาพของชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็ตาม ไม่มีชีวิตก็ตาม ในโลกทั้งหมดมันเป็นอนิจจัง หาอะไรเที่ยงไม่ได้ มันเป็นทุกขัง ในเมื่อมันไม่เที่ยงมันก็มีความทุกข์ อนัตตาในที่สุดมันก็สลายตัว ไม่มีอะไรยืนตัว เราจะไปเกาะโลกธรรมหมายถึงว่าเกาะชีวิต ร่างกายของเรานี้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ก็ชื่อว่าเราโง่เต็มที ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุสี่ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ เข้ามาประกอบเป็นเรือนร่างชั่วคราว เป็นเหมือนกับบ้านพักบ้านอาศัยชั่วคราวหรือว่าบ้านเช่า
ถ้ามันเป็นบ้านเช่ามันก็เก็บค่าเช่าแพงเกินไป เจ้าของบ้านคือกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมที่ดันให้เรามาเกิดมาอาศัยอยู่ในกาย มันเก็บค่าเช่า มันมีความโหดร้ายมาก เรามาอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องซ่อมทุกวัน วันหนึ่งๆ ซ่อมหลายครั้ง ซ่อมด้วยอะไรบ้างล่ะ ซ่อมด้วยอาหารการบริโภค ถ้าไม่ซ่อมมันก็รวนเรโยเย สร้างความทุกข์ให้เกิดกับเรา ให้อาหารการบริโภคตลอดเวลาแล้วมันก็ยังไม่พอ บางครั้งมันก็โซซัดโซเซ หมายความว่าความป่วยไข้ไม่สบายปรากฎ ความสุขความสบายกายความสบายใจมันก็ไม่มีต้องสิ้นเปลือง ต้องทุกข์ทรมานกายทรมานใจ ทรัพย์สินมีเท่าไรก็ต้องจับจ่ายใช้สอยเอามารักษาตัวจนหมดจนสิ้น เราหามาด้วยความลำบาก นี่แสดงว่าเจ้าของบ้านนี่มันใจร้ายมาก
แล้วยิ่งไปกว่านั้น เราจะทะนุบำรุงมันเท่าไรก็ตาม เจ้าของบ้านมันก็พยายามทำให้ร่างกายคือบ้านที่เราอาศัยอยู่นี่ทรุดโทรมตลอดเวลา เราจะเห็นว่าร่างกายของเราแก่ลงไป ทรุดโทรมลงไปตลอดกาลตลอดสมัย นี่เห็นความใจร้ายของเจ้าของบ้านว่ามันร้ายขนาดไหน แล้วในที่สุดมันก็ทำลายบ้านเสีย นี่เรียกว่าเราอาศัยบ้านหรือเช่าบ้านเสียค่าเช่าแพงแล้วยังไม่พอ ในที่สุดเจ้าของบ้านมันก็ทำลายบ้านนี้ให้เราแสวงหาบ้านอยู่ต่อไปใหม่
ก็เป็นอันว่าบ้านเหล่านี้ก็ดี บ้านหลังต่อไปก็ดี ที่จะมีต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์มันไม่มีอะไรเป็นสุข ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า สจิตตปริโยทปนัง จงทำจิตใจให้ผ่องใส คิดไว้เสมอว่า บ้านเช่าก็คือร่างกายหลังนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราจะต้องมีบ้านแบบประเภทนี้ต่อไป เราก็จะพบแต่ความทุกข์อีก ให้วางภาระบ้านหลังนี้เสีย หมายความว่า เราไม่สนใจกับบ้านหลังนี้ ในขณะที่เราอาศัยอยู่ เราจะทะนุบำรุงมันตามปกติ เพราะเรายังอาศัยอยู่ ข้าวปลาอาหารหาให้มันกิน มันหนาวหาผ้ามาห่ม มันร้อนหาน้ำให้อาบสร้างความเย็นให้ปรากฎ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย รักษาเพื่อเป็นการระงับเวทนา ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ยิ้มได้ ทำใจไว้เสมอว่า ไอ้บ้านจัญไรแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก
ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันเป็นเชื้อสายของกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม หรือจะกล่าวกันว่ามันเป็นเรือนจำที่กิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมส่งจิตคือเราเข้ามาขังไว้เป็นการทรมานก็เป็นไปได้ ฉะนั้น บ้านหรือเรือนจำประเภทนี้เราจะไม่มีมันต่อไป ชาติก่อนเราโง่แล้ว เวลานี้เรามาพบคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำให้เรารู้แล้วว่าบ้านหลังนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นเรือนร่างแห่งความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก
วิธีที่จะไม่ต้องการมันเราทำยังไง?
เราก็ล้วงไปหาพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรสอนไว้เป็นหลัก เป็นการทำลายบ้านหลังนี้ คือไม่ต้องการพบบ้านหลังนี้ต่อไป นั่นก็คือมีการให้ทาน ใคร่ครวญไว้เสมอว่าเราจะต้องให้ทานตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่ง ว่าเราจะไม่มีบ้านอันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเดือนร้อนแบบนี้อีก เราต้องเป็นคนให้ทานเป็น ให้ทานในที่นี้ไม่ใช่ให้ทานเอาหน้า ให้เอาชื่อเสียง เราให้ทานเอาศักดิ์ศรี หมายความว่าให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลสคือโลภะ ความโลภที่จะอยากมีบ้านนี้ต่อไป เราไม่อยากมีบ้านนี้ต่อไป เราให้ทานเพื่อเป็นการตัดรากตัดเหง้าของการที่จะมีบ้านประเภทนี้ ให้ทานไปด้วยดีเป็นการสงเคราะห์ เป็นการทำจิตให้สบาย
ประการที่สอง เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ ถ้าไม่มีพรหมวิหารสี่ ศีลมันไม่บริสุทธิ์ เป็นการกำจัดโทสะความโกรธให้พินาศไป
ประการที่สาม เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ นี่ถ้าเรายึด ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ร่างกายของเรานี่มันไม่ใช่เรา เราไม่ยึดถือมันเสีย คิดเสียว่าในเมื่อมันมีความเกิดขึ้นแล้ว ก็รู้ว่ามันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ก็ถือว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วประเดี๋ยวมันก็แก่ มันแก่ไปทุกวันเรารู้ แก่ก็แก่ไป เราไม่ทุกข์กับภาวะของมัน มันจะเป็นยังงั้นก็ช่างมันปะไร อยากจะแก่ก็เชิญแก่ ถ้ามันป่วยไข้ไม่สบาย เรารักษามันหายก็หาย ไม่หายหรือมันจะตายก็ช่างมัน เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว
ในเมื่อความตายมันจะเข้ามาถึงจริงๆ เราก็สร้างความภูมิใจว่า ที่สุดของความทุกข์ของเราเข้ามาถึงแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนไม่ให้เรายึดถือ บ้านประเภทนี้เราไม่ยึดถือมัน มันพังเสียได้ก็ดีแล้ว ขึ้นชื่อว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเราที่มีร่างกายเลวๆ แบบนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ต่อไปเราจะแสวงหาความสุข กล่าวคือ เป็นผู้ไม่เกิดเป็นคน ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นพรหม ส่วนที่เราต้องการจะไปนั่นก็คือ พระนิพพานสายเดียว นี่การพิจารณาแบบนี้ที่พระโบราณาจารย์ท่านเขียนไว้ว่า เป็นได้เข้าถึงอุปจารสมาธิ วันนี้ก็ขอพูดจบไว้แต่เพียงเท่านี้
อย่างนี้เขาเรียกว่า ธรรมานุสสติกรรมฐานแบบพิจารณา สำหรับธรรมานุสสติกรรมฐานแบบภาวนาให้เป็นฌานสมาบัติ วันพรุ่งนี้มีโอกาสจะพูดต่อไป
ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ หรือว่าธัมโม หรือสังโฆ ก็ได้ แต่ว่าถ้าภาวนาว่าพุทโธ ก็ให้จิตอยู่แค่พุทโธ อย่าให้มันเลยไปถึง ธัมโม หรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่าธัมโมก็ให้จิตอยู่แค่ธัมโมอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธหรือสังโฆ ถ้าภาวนาว่า สังโฆ ก็ให้จิตมันอยู่แค่สังโฆอย่างเดียว อย่าให้มันไปถึงพุทโธ ธัมโม จิตมันจะส่าย รักษาอารมณ์อย่างไหนก็รักษาอารมณ์อย่างนั้นไว้เป็นปกติ เวลาหายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่าโธ ถ้าเจริญธรรมานุสสติกรรมฐาน เวลาหายใจเข้านึกว่า ธัม เวลาหายใจออกนีกว่า โม ธัมโม ธัมโม หากว่าเจริญสังฆานุสสติกรรมฐาน หายใจเข้านึกว่า สัง หายใจออกนีกว่า โฆ อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อย่าให้จิตมันสอดส่ายไปสู่อารมณ์อื่น ถ้าเราสามารถจะทรงความดีได้ชั่วขณะหนึ่งในช่วงเวลา ๓๐ นาทีที่จะให้เวลาต่อไปนี้ ถ้าทรงความดีได้อย่างนี้สัก ๓ นาที ก็ชื่อว่าเรามีความดีพอสมควร
.................................
จากหนังสือ "กรรมฐาน ๔๐" โดย..พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี