เทศกาลเข้าพรรษาปีนี้ มีวันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วัน (4 – 7 ก.ค.63) หลายคน เดินทางไปต่างจังหวัด เข้าวัดฟังธรรม ทำบุญ สร้างกุศล เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมงคลชีวิต แก่ตนเองและครอบครัว
วันนี้ ขอแนะนำ พุทธศาสนิกชน ไปที่วัดถ้ำแสงเพชร บ้านสามแยกแสงเพชร ต.สร้างนกทา อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ ตั้งอยู่บนภูเขาขาม ห่างจากตัวเมืองอำนาจเจริญ ประมาณ 15 กิโลเมตร ด้านทิศตะวันออก ถนนอรุณประเสริฐ (อำนาจเจริญ – ปทุมราชวงศา) เป็นภูเขาไม่สูงมากนัก ปกคลุมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ลมพัดเย็นสบาย ท่ามกลางเสียงนกหลากหลายพันธุ์ ขับกล่อมบรรเลงบทเพลงแห่งป่าขุนเขา ที่ไพเราะตลอดเวลา ทำให้ใจสบาย จิตสงบยิ่งนัก
ก่อนนั้นภูเขาขาม เป็นที่ตั้งวัดถ้ำแสงเพชร โดยหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เดินทางเข้าไปจำพรรษา และพัฒนาวัดถ้ำแสงเพชร จนเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนอย่างแพร่หลาย
ทว่า ปัจจุบันวัดถ้ำแสงเพชร แบ่งเป็น 2 วัด คือ วัดถ้ำแสงเพชรบนและวัดถ้ำแสงเพชรล่าง ซึ่งทั้ง 2 วัด ตั้งอยู่ภูเขาขาม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 .ของจังหวัดอำนาจเจริญ ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปสัมผัสธรรมชาติอันสวยงาม และนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นมงคลชีวิต อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวันหยุดเทศกาลสำคัญๆ และวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ
พระอธิการ ประพัส ปธาราษฎร์ อายุ 68 ปี เจ้าอาวาสวัดถ้ำแสงเพชรล่าง กล่าวว่า เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา หลวงปู่ชา แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ได้มาจำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณภูเขาขาม ระหว่างจำพรรษา ได้ค้นพบถ้ำแสงเพชร ซึ่งภายในถ้ำพบรูปปั้น พระเบญจวคีทั้ง 5 ไม่ถูกพุทธลักษณะมากนัก เข้าใจว่า ชาวบ้านที่มีความศรัทธาปั้นด้วยมือตนเอง ต่อมา ได้มีการปรับปรุงปรับแต่งขึ้นมาใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และยังพบ ถ้ำโคนอน อยู่ห่างถ้ำแสงเพชรไม่มากนัก โดยมีรูปปั้นโคนอน อยู่ปากถ้ำ ซึ่งเป็นฝีมือชาวบ้านปั้นขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ถ้ำโคนอน เพราะสมัยโบราณ ถ้ำแห่งนี้ เป็นที่อาศัยของโคป่า นอกจากนี้ ยังพบถ้ำค้างคาว ถ้ำงู เป็นต้น
ที่สำคัญ ยอดภูเขาขาม เป็นลานหินกว้าง มีความเหมาะสมที่จะสร้างวัด หรือ สถานที่ยึดเหนี่ยวทางใจของพุทธศาสนิกชน ซึ่งญาติโยม พุทธศาสนิกชนชาวอำนาจเจริญร่วมกัน ก่อสร้างศาลาพันห้อง เจดีย์ และพระนอน ที่บริเวณลานบนภูเขาขาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดถ้ำแสงเพชรบน โดยมีเจ้าอาวาสวัดและพระสงฆ์ สังกัดมหานิกาย จำพรรษาอยู่ที่นี่
สำหรับวัดถ้ำแสงเพชรล่าง ภายในเนื้อที่ 100 ไร่ มีต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นโดยทั่วไป มีความสงบร่มรื่น โดยเฉพาะไม้พยุง มีอยู่จำนวนมาก ทว่า ปัจจุบัน เริ่มเหลือน้อยลง เพราะมีบางคน เข้าไปตัดไม้พยุง เป็นประจำ ซึ่งอาตมาเป็นพระ จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ไม่ถูกต้องนัก ก็ให้เป็นไปตาม เวรกรรม บุญวาสนาของแต่ละคนก็แล้วกัน
ส่วนวัดถ้ำแสงเพชรล่าง เมื่อขับรถเข้าไป ก่อนจะถึงวัด ก็จะพบต้นไผ่ขึ้น 2 ข้างทาง ที่ปลายไผ่จะโค้งเข้าหากันปกคลุมทางเข้าอย่างสวยงาม ด้วยระยะทาง 200 เมตร เมื่อออกจากอุโมงค์กอไผ่ ก็เป็นที่ประดิษฐาน พระเทพโลกอุดร เพื่อให้ญาติโยม พุทธศาสนิกชน กราบนมัสการ ขอพร ให้เป็นสุข จากนั้น ให้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งสามารถขับรถเข้าไปได้ แม้ทางจะแคบ แต่ก็สะดวก ด้วยระยะทางประมาณ 700 เมตร มีลานจอดรถอย่างดี ซึ่งเป็นที่ตั้งถ้ำแสงเพชร เพื่อนมัสการ พระบัญจวคีทั้ง 5 ถัดไปเป็นถ้ำโคนอน ซึ่งปากถ้ำมีรูปปั้นโคนอน เป็นสัญลักษณ์ ให้ทราบ นอกนั้น ก็เป็นถ้าค้างคาว ถ้ำงู เป็นต้น
นอกจากนี้ ด้านทิศตะวันออกของภูเขาขาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาส ตั้งสูงเด่นเป็นสง่า อยู่บนยอดภูเขาขาม หากมองขึ้นมาจากพื้นล่าง ด้านอ่างเก็บน้ำห้วยสีโท จะมองเห็นเด่นชัด และสวยงามมาก
พระอธิการ ประพัส ปธาราษฎร์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำแสงเพชรล่าง กล่าวว่า พุทธศาสนิกชนที่มาท่องเที่ยว และกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเดินทางกลับ ก็จะเข้ามาขอพร และรดน้ำมนต์จากอาตมา ทุกครั้ง ทุกคน เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน หลายคนปรับทุกข์ ปัญหาทางครอบครัว ซึ่งก็ชี้แนะให้ยึดหลักธรรม ตามคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปปฏิบัติ โดยแนะนำให้ถือศีล 5 ข้อ คือ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามพูดเท็จ ห้ามทำผิดในกาม และห้ามดื่มสุรา หากปฏิบัติได้ จะพบแต่ความสุข
พระอธิการ ประพัส ปธาราษฎณ์ เจ้าอาวาสวัดถ้ำแสงเพชร เทศนาต่อไปว่า ถ้าเรามีความหมั่น ความขยันมีปัญญาแล้ว ย่อมหาทรัพย์ได้โดยง่าย สมกับโบราณภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ทรัพย์นี้มิไกล ใครปัญญาไว หาได้ไม่นาน ทั่วแคว้นแดนดิน มิสิ้นทุกสถาน ผู้ใดเกียจคร้านไม่พานพบ และก็แสดงให้เห็นว่า แม้เพียงปัญญาอย่างเดียวก็ย่อมสำเร็จ ถ้ามัวแต่ไปท่องตัว คาถา อุ อา กะ สะ ถ้าไม่ลงมือทำการทำงานด้วย ความขยันหมั่นเพียร รับรองว่า ไม่เป็นเศรษฐีแน่นอน ท่องแต่คาถาหัวใจเศรษฐี แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ มีแต่จะทุกข์ลูกเดียวไม่ต้องสงสัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์อันเป็นไปในภพนี้ชาตินี้ คือ ปัจจุบันนี้ ได้แก่ ประโยชน์ทันตาเห็น ขอให้ญาติโยมพึงประพฤติบำเพ็ญธรรม 4 ประการนั้น ให้บริบูรณ์ในสันดานตน ก็จะบรรลุได้ทันตาเห็น ขอให้ประพฤติปฏิบัติเอา
ส่วนประโยชน์ในภายหน้าก็มี 4 อย่างคือ
สัทธาสัมปทา คือ ความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่อท่านจัดไว้หลายประเภท เช่น สัทธาสัมปทา 2 คือ โลกีสัทธา คือความเชื่ออันเป็นไปในทางโลก 1. และโลกุตตรสัทธา ความเชื่ออันพ้นจากโลก 1. แต่สัทธาในสัมปรายิกัตถประโยชน์นี้ หมายเอา สัทธาญาณสัมปยุตต์ เพราะคำว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บอกชัดอยู่ในตัวแล้วว่า ดีและชั่ว ล้านแต่เกิดจากเหตุ คือ การกระทำ สมกับพุทธภาษิตที่ว่า กัลป์ยาผณะการี กัลป์ยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง แปลว่า ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว เมื่อคนเรามีสัทธาต่อคำสอนของพระศาสดาแล้วนำไปปฏิบัติย่อมเกิดผลดีไพบูลย์สืบไป
สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คำว่า ศีล แปลว่า ปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ อันเป็นคุณธรรมเครื่องรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย คือ เมื่อเราได้สมาทานศีลไปแล้ว ไม่ประพฤติล่วงศีล
จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน คำว่า ทาน มี 2 ประเภท คือ อามิสทาน คือ ทานสิ่งของเงินทอง เครื่องใช้เครื่องบริโภคที่เป็นวัตถุ การให้โอกาทหรือการแสดงธรรมให้ฟัง แนะนำในทางดี เรียกว่า ธรรมทาน เมื่อคนเราอยู่ร่วมกันหมู่มาก ก็ย่อมมีการอาศัย ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือทั้งทางกาย ทางวาจา และทางทรัพย์บ้าง ผู้ที่ไม่ตระหนี่แบ่งปัน สิ่งของให้คนอื่นย่อมเป็นที่รักของหมู่คณะ ดังธรรมภาษิตที่ว่า ทะทัง ปิโย โหติ ภะชันตินัง พะหู แปลความว่า เป็นให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบหาเขาดังนี้ บุคคลที่ได้รับความสุข มีโภคทรัพย์สมบูรณ์ในชาตินี้ ก็เพราะผลทานของเจาในชาติปางก่อน และทานของเขาในปัจจุบันชาตินี้ ก็จะส่งผลในภายหน้าต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคลให้ทานเป็นต้นในปางก่อน ย่อมให้สุขในบัดนี้ เหมือนต้นไม้ที่ให้ปุ๋ยที่โคน แต่ให้ที่ยอดฉันนั้น
ปัญญาสัมปทา คือถึงพร้อมด้วยปัญญา คือ รู้จักบุญและบาป คุณและโทษ ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ เป็นต้น ปัญญานี้ แม้เกิดขึ้นกับบุคคลผู้ใดก็ทำให้บุคคลนั้นมีชีวิตจิตใจผ่องใส บุคคลผู้มีปัญญาย่อมเจริญด้วยลาภยศ โภคทรัพย์ ผู้ขาดปัญญาก็หาทรัพย์ไม่ได้ แม้มีทรัพย์สินมรดก ข้าวของอยู่ก็จะเสื่อมสิ้นไปและผู้ที่ลาโลกนี้แล้วไปสู่โลกหน้า คือ สุคติ ทุคติ ก็มาจากปัญญาของตนเอง ผู้ไร้ปัญญาย่อมปล่อยตนของตนจมลงไปในความมัวเมา ประมาท จะทำกรรมด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
สวนผู้มีปัญญาย่อมทำตนให้เป็นสุขได้ ทั้งทำตนให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ก็เพราะปัญญา บุคคลมีปัญญา มีศรัทธาในทางที่ถูก เรียกว่า สัทธาญาณสัมปยุตต์ ผู้มีปัญญาจะทำ จำพูด จะคิด ก็จะรู้ได้ว่า มีคุณหรือมีโทษ มีประโยชน์ หรือหาประโยชน์มิได้ จึงชื่อว่า ปัญญาเป็นคุณธรรมอันสำคัญ อันจะยังประโยชน์ภายหน้าให้สำเร็จ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี