จากกรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนว่า ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ราคาหมูในหลายพื้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น?
หลังมีประเด็นดังกล่าว ผู้สื่อข่าวแต่ละสำนักได้ลงพื้นที่เพื่อหาคำตอบ จนพบว่า ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์ม ส่วนใหญ่ติดราคาสูงสุดที่ กิโลกรัม(กก.) ละ 79 บาท แต่ราคาขายจริงสูงกว่าที่ประกาศไว้ โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 86-87 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เคยตกลงไว้กับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ว่าจะคุมราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่ให้เกิน กก.ละ 80 บาท จึงเป็นสาเหตุให้ราคาหมูเนื้อแดงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มที่จะขยับเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 90 บาทขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและการส่งออกไปขายต่างประเทศ
ส่วนราคาหมูเนื้อแดงเพิ่มขึ้นจาก กก. ละ 150-160 บาท เป็น กก.ละ 170-180 บาท เนื่องจากราคาหมูเป็นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 86-87 บาท, คอหมูแล่เป็นชิ้น จากเดิม กก.ละ 170 บาทเพิ่มเป็น 200-220 บาท, หมูสามชั้น จากเดิม กก.ละ 140-160 บาท เป็น 180 บาท, ซี่โครงหมูกิโลกรัมละ 140 บาท จากเดิม 120 บาท ส่วนราคาหมูเป็นตัวหน้าฟาร์ม จากเดิม 75-80 บาท เพิ่มเป็น 85-89 บาท
เมื่อราคาเนื้อหมูแพงขึ้น ก็ส่งผลกระทบให้ราคาอาหารที่ใช้เนื้อหมูเป็นวัตถุดิบ มีราคาสูงตามไปด้วยเช่นกัน ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าอาหารแพงขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้านอาหารเองก็เดือดร้อนตามไปด้วย เพราะต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น เป็นภาระหนักอึ้งเช่นกัน และหากจะเพิ่มราคาอาหารขึ้นไปอีก ก็อาจทำให้ลูกค้าหันไปซื้ออย่างอื่นมารับประทานแทน
สำหรับสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงขึ้น ก็มีอยู่หลายประการ อาทิ ความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่รัฐบาลประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์ มีการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเปิดเทอม ผู้คนกลับเข้ามาทำงานตามปกติ จึงมีความต้องการบริโภคหมูมากขึ้นกว่าเดิม
ประการต่อมาคือ โรคติดต่อภายในหมู คือโรค ASF หรือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ที่ระบาดในหลายประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรต่างต้องเลี้ยงสุกรอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าว ทำให้แบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตัวละ 100 บาท และจากภาวะโรค ASF ส่งผลให้หมูในระบบของไทยหายไปกว่า 20% จากเดิมในปี 2562 ไทยที่มีหมูในระบบประมาณ 20,000,000 ตัว
เรื่องที่ต่อเนื่องกันคือ ไทยส่งออกหมูต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ตามความต้องการหมูของหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคในสุกรอย่างหนัก ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ทำให้หมูไม่ขาดแคลนและยังมีราคาถูกกว่า จึงกลายเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ
ปัจจัยอื่นๆ คือราคาอาหารสัตว์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสุกรเพิ่มขึ้นตามไปด้วยรวมทั้งปัญหาภัยแล้ง และอากาศร้อน ส่งผลให้ผู้เลี้ยงต้องพบกับอุปสรรค เพราะหากช่วงไหนที่สภาพอากาศร้อนจัด จะทำให้สภาพร่างกายของหมูกินอาหารลดลง ทำให้น้ำหนักหมูลดลง จึงต้องเพิ่มปริมาณอาหารหมูเพิ่มมากขึ้น ต้นทุนด้านอาหารจึงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังกระทบกับเกษตรกรที่ส่วนใหญ่มีน้ำไม่เพียงพอ จึงต้องซื้อน้ำจากภายนอกมาใช้ในฟาร์มทุกวัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้น ทั้งยังต้องจ่ายค่าไฟเพิ่ม จากการที่ต้องเปิดพัดลมระบายอากาศตลอดเวลา
อีกประการหนึ่งก็คือ ยี่ปั๊วบางรายที่ไปรับหมูเป็นๆ จากหน้าฟาร์มไปชำแหละขายส่งต่อให้เขียงหมูนั้น มีการปรับเพิ่มราคากันเอง โดยจะนำราคาที่ส่งไปขายต่างประเทศมาเปรียบเทียบให้พ่อค้า แม่ค้าตามเขียงหมูดู แล้วบอกว่าต่างประเทศต้องการหมูมากซึ่งไม่เพียงพอต่อการส่งออก จึงต้องขายให้พ่อค้าแม่ค้า ในราคาที่ใกล้เคียงกับต่างประเทศ ซึ่งเป็นราคาที่แพง ในการขายส่งก็อยู่ที่ กก.ละ 150-200 บาทแล้ว ดังนั้น พ่อค้า แม่ค้า ตามเขียงหมู ที่ซื้อมาในราคาแพง จึงต้องขายในราคาแพงด้วย เพื่อไม่ให้ขาดทุน ครั้นจะไม่ขายก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมีลูกค้าที่เป็นขาประจำรอซื้ออยู่
ทางด้าน นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ยืนยันว่า เกษตรกรทั่วประเทศยืนหยัดให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน ดูแลราคาหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท มาโดยตลอดเพื่อให้ราคาขายหมูหน้าเขียงไม่เกิน กก.ละ 160 บาท เป็นการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยราคาเป็นไปตามกลไกตลาด จากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น เหมือนกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาหมูไทยยังคงถูกที่สุดในภูมิภาคนี้ ราคาหมูปัจจุบันนี้เพียงแค่เกษตรกรพออยู่ได้ โดยเพิ่งจะขายได้ราคานี้ หลังจากแบกรับภาระขาดทุนสะสมมาตลอด จากภาวะหมูล้นตลาดและราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวว่า เกษตรกรให้ความร่วมมือรักษาระดับราคาหมูขุนไม่ให้เกิน กก.ละ 80 บาทโดยระดับราคาดังกล่าวถือว่าเกษตรกรพอมีรายได้กลับมาต่อทุนเพื่อเลี้ยงหมูในรุ่นถัดไปเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงหมูยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่างปรับตัวขึ้น และยังต้องต่อสู้กับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ทำให้มีต้นทุนการป้องกันและเฝ้าระวังโรคเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเกษตรกรจะมีต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงถึง 71 บาทแล้วก็ตาม แต่ทุกคนก็พร้อมตรึงราคาหมูหน้าฟาร์มไว้ที่ไม่เกิน 80 บาทต่อ กก.
“หมูไทยราคาไม่ได้สูงไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่ต้องรับมือกับโรค ASF ที่ระบาดอย่างหนักอย่างจีน เวียดนาม เมียนมา ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากการขาดแคลนหมูอย่างหนัก เพราะภาวะโรค ช่วงนี้ที่ราคาหมูขยับขึ้นตามกลไกตลาด ขอให้ประชาชนเข้าใจและเห็นใจเกษตรกรที่ต้องเผชิญปัญหาราคาหมูตกต่ำจากผลผลิตล้นตลาดนานกว่า 3 ปี ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมตลอดระยะเวลาดังกล่าว หากเห็นว่าหมูมีราคาสูง ทุกท่านยังมีทางเลือกรับประทานโปรตีนอื่นๆ ทดแทนได้ ทั้งปลา ไข่ ไก่ แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรมีอาชีพเลี้ยงสุกรในการหล่อเลี้ยงชีวิต หากถูกควบคุมมากจนเกินไปเกษตรกรอาจไม่สามารถไปต่อในอาชีพนี้ได้” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าว
จะเห็นได้ว่า จากสถานการณ์ราคาหมูแพงขึ้น ส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ตั้งแต่คนเลี้ยงไปจนถึงผู้บริโภค ที่ได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้ามากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องเร่งช่วยกันแก้ปัญหานี้ให้หมดไปโดยเร็ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี