จากข่าว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงนโยบายวันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ว่าจะมีการ “ทบทวนใหม่” เรื่องการ “ตั้งจุดตรวจ” เพื่อลดการเข้าใจผิดและการเผชิญหน้าของตำรวจและประชาชน ที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ จนอาจส่งผลต่อการภาพลักษณ์ของตำรวจในการปฏิบัติงานได้ และ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็เน้นย้ำเรื่องการ “ทบทวนหลักเกณฑ์การตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด” ให้ถูกต้องตามระเบียบ-กฎหมาย เพื่อให้สามารถป้องกันและยับยั้งอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
ซึ่งที่ผ่านมา “การตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด มีประชาชนบางส่วนมองว่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย” ดังจะเห็นการใช้กล้องติดรถยนต์-กล้องมือถือ แชร์ภาพ-คลิป การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ที่ทำให้เกิดคำถามถึงแนวทางปฏิบัติงานที่ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้และบางส่วนอาจเลยไปถึงเรื่องของการหาผลประโยชน์หรืออื่นๆ ทำให้เรื่องการตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด กลายเป็นจุดอ่อนของ
ภาพลักษณ์ตำรวจไป
แต่ในความเป็นจริง “จุดตรวจ-จุดสกัดถือเป็นเครื่องมือสำคัญ” ที่จะป้องปรามและสกัดการกระทำความผิดที่อาจส่งผลต่อประชาชนทั่วไปได้ อาทิ “จุดตรวจเมาในจำนวนและตั้งได้ถูกที่ถูกเวลา ได้ช่วยป้องปรามนักดื่มที่จะขับขี่ไม่ให้มาก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนถนน” เพราะทราบกันดีว่ากว่า 1 ใน 5 หรือร้อยละ 20 ของผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต พบมีการดื่มร่วมด้วย และถ้าเป็นช่วงเทศกาลจะพบถึงร้อยละ 53 ที่มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนด
เช่นเดียวกับ “การตรวจหมวกนิรภัย ก็ช่วยกระตุ้นให้สัดส่วนผู้สวมหมวกเพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อเกิดเหตุกับรถจักรยานยนต์จะช่วยลดความรุนแรงลงได้” โดยหมวกนิรภัยช่วยลดการบาดเจ็บศีรษะได้ถึงร้อยละ 72 และลดการตายได้ร้อยละ 39 ทั้งนี้ “ในระหว่างที่มีการชะลอเพื่อให้มีการทบทวนจุดตรวจ-จุดสกัด ก็มีความเสี่ยงต่อผู้ที่ฝ่าฝืนจะไม่ถูกตรวจจับ” เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบกับผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชนทั่วไป เพราะโดยปกติก็มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนถึง 30-40 คน/วัน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเสี่ยง (เร็ว เมาขับหรือไม่สวมหมวกนิรภัย) ร่วมด้วย
ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และเครือข่าย มีข้อพิจารณาเพื่อใช้ประกอบแนวทางการทบทวนวิธีปฏิบัติ โดยเฉพาะจุดตรวจ-จุดสกัด ที่ช่วยป้องปรามให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน ดังนี้ 1.เร่งพิจารณาทบทวนโดยไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์ เพราะการปล่อยให้บนถนนไม่ต้องมีจุดตรวจ-จุดสกัด อาจจะทำให้มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายบนถนนมากขึ้นจนกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไปที่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะช่วงหลังออกพรรษามีการกลับมาดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น และช่วงปลายปีที่มีการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
2.ส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดปฏิบัติงาน รถสายตรวจหรือตำรวจที่ออกปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทั้งฝ่ายตำรวจและประชาชน ติดตั้งกล้องตรวจจับ (เช่น Red light camera หรือ Speed camera) พร้อมระบบใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับความผิดที่เสี่ยงอุบัติเหตุรุนแรง อาทิ ขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด ขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดง เงินค่าปรับจากผู้กระทำผิดมาใช้จัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมและซ่อมบำรุงอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่ รวมถึงตอบแทนบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ อาจพิจารณาตั้ง “กองทุนเพื่อการบังคับใช้อย่างประสิทธิภาพ” เพื่อความโปร่งใสของการบริหารจัดการ
งบค่าปรับ และลดกระแสต่อต้านการตั้งด่านเพื่อสินบนนำจับ 3.พัฒนาระบบจัดการข้อมูลเพื่อให้จุดตรวจ-จุดสกัดมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบตรวจสอบความผิดซ้ำ เห็นได้จากคดีเมาแล้วขับ ที่ผ่านมายังต้องอาศัยระบบตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ
ซึ่งไม่ทันใช้ประกอบสำนวนส่งฟ้องศาลแขวง ที่กำหนดไว้ 48 ชั่วโมง หรือการใช้ข้อมูลเพื่อระบุกลุ่มเป้าหมาย พิกัดและ
ช่วงเวลา ทำให้สามารถตั้งได้อย่างถูกจุดซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพเชิงป้องปรามได้
นอกจากนี้ “ควรพัฒนาระบบการสืบสวนคดีอุบัติเหตุ” ที่เปลี่ยนจากการระบุเพียงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นข้อมูลเชิงลึกถึงปัจจัยที่ครอบคลุมทั้งถนน ยานพาหนะ สภาพแวดล้อม ฯลฯ” โดยเฉพาะในจุดที่เกิดเหตุซ้ำซาก ที่ประชาชนมักเรียกว่าโค้งร้อยศพบ้าง แยกวัดใจบ้าง เพื่อนำไปสู่การแก้ไข รวมทั้งการใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดค่าเป้าหมาย (ตัวชี้วัด) ในการบังคับใช้ และเพื่อกำกับติดตามการปฏิบัติงานของระดับต่างๆ
4.การบังคับ “เชิงบวก” โดยตำรวจประจำจุดตรวจ มีการเสริมด้วยการเตือนด้วยความห่วงใยและสื่อสารเพื่อสร้างแนวร่วม
จากผู้ใช้รถใช้ถนนที่ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี (ตามแนวทาง Behavior Base Safety : BBS) เช่น การสวมหมวกนิรภัย ซึ่งพบว่าเมื่อมีการชมเชยผู้ที่ปฏิบัติตาม คนกลุ่มนี้พร้อมจะเป็นแนวร่วม นอกจากตนเองจะสวมแล้วยังจะบอกคนรอบข้างให้สวมด้วย และการเตือนว่าอะไรคือผลเสียจากการไม่สวมหมวกนิรภัย รวมถึงบูรณาการการตั้งจุดตรวจร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ นอกเหนือจากตำรวจ
5.มาตรการและกลไกที่เข้ามาเสริม อื่นๆ เช่น อนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมาย ในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด (ศปถ.จังหวัด) โดยมีผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นประธานและมีภาคีทั้งภาครัฐและภาคสังคมร่วมเป็นกรรมการ ถือเป็นตัวช่วยให้ปัญหาหรือข้อขัดแย้งจากการตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด ของทางตำรวจภูธรจังหวัด ถูกหยิบยกมาหารือและแก้ไขในระดับพื้นที่
ซึ่งแม้จะมีการแต่งตั้งอนุกรรมการนี้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ แต่ก็พบว่ามีการใช้กลไกของอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายเพียงบางจังหวัด ส่วนในระดับอำเภอ จะมีกลไก ศปถ.อำเภอ หรือศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ ที่
นายอำเภอเป็นประธาน และผู้กำกับการเป็นคณะกรรมการ ก็เป็นกลไกที่สามารถนำข้อขัดแย้งของการตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด มาหาข้อยุติหรือใช้กำกับติดตามได้เช่นเดียวกัน
นโยบาย ผบ.ตร. ที่ให้มีการ “ทบทวน” หลักเกณฑ์ในการตั้งจุดตรวจจุดสกัด ให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย เพื่อให้สามารถป้องปรามและระงับยับยั้งอาชญากรรม อุบัติเหตุจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ถือเป็นโอกาสอันดีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กลับมา “ตั้งหลัก” และหลักที่จะใช้ยึดโดยเฉพาะการตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด ด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ก็ขอให้ “เร่งรัดดำเนินการทบทวน” (ไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์) และเน้นให้เกิดการบังคับใช้ที่ “โปร่งใส ใช้เทคโนโลยี ใช้ข้อมูลและการบังคับเชิงบวก”!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี