1.ระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และวันที่ 1 มีนาคม (2563) ที่ผ่านมา ผมและทีมงานจากหลายภาคส่วนทั้งมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ลงไปทำงานกับเกษตรกร และประชาชนในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดกระบี่เป็นอย่างดี จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
จังหวัดกระบี่เป็นพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันกว่า 1 ล้านไร่และประสบกับปัญหาราคาผลปาล์มสดตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 2 บาท จากนั้นเมื่อนโยบายประกันรายได้ของกระทรวงพาณิชย์ออกมา ราคาก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 4 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมากระทรวงพลังงานประกาศส่งเสริมการใช้น้ำมันบี 10 ที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม 10% ก็ส่งผลให้ราคาผลปาล์มสดสูงขึ้นไปอยู่ที่ 5-6 บาทต่อกิโลกรัมนั่นหมายความว่า ราคาของผลปาล์มถูกนำไปแขวนเอาไว้กับการนำไปผสมรวมกับน้ำมันดีเซล ซึ่งแสดงว่าความอยู่รอดของเกษตรกรชาวสวนปาล์มทั้งหมด จะไปอยู่ในการควบคุมของกระทรวงพลังงาน ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์ ที่บริหารจัดการเรื่องนโยบายราคาผลผลิตทางการเกษตรโดยตรง ดังนั้น ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านพลังงานย่อมกระทบกับชีวิตของเกษตรกรชาวสวนปาล์มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อเป็นการประกันความมั่นคงของชาวบ้านที่ปลูกปาล์ม ผมจึงเริ่มมาคิดว่า จะทำอย่างไรที่จะลดต้นทุนในการทำสวนปาล์ม และหาทางที่จะสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านได้ นี่คือโจทย์ที่ผมต้องนำมาหาคำตอบ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของชาวสวนปาล์มทั่วประเทศ
2.ในการลงจังหวัดกระบี่ครั้งนั้น คำตอบของผมก็อยู่ตรงหน้า เมื่อทีมงานได้พาไปพบกับ “คุณพันศักดิ์จิตรรัตน์” เกษตรกรชาวสวนปาล์มที่สามารถแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำได้ด้วย “การเลี้ยงแพะในสวนปาล์ม” เนื่องจากแพะที่เลี้ยงไว้จะทำหน้าที่ 2 อย่างคือ การกินหญ้าในสวนปาล์มจนเตียน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการจ้างตัดหญ้า และที่สำคัญ ขี้แพะนั้นเป็นปุ๋ยอย่างดีสำหรับต้นปาล์มในสวน
คุณพันศักดิ์เลี้ยงแพะประมาณ 40-50 ตัวต่อพื้นที่ปลูกปาล์ม 1 ไร่ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสวนปาล์มไปได้มาก และเมื่อแพะอายุครบ 5-6 เดือน ก็สามารถนำไปขาย จนกลายเป็นรายได้เสริมที่น่าพอใจ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงแพะ ก็จะเป็นเรื่องของพยาธิในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งติดมากับการกินหญ้าในสวนปาล์ม ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างดีอาจตายได้ ดังนั้น การจัดหายาถ่ายพยาธิให้แพะจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งยาถ่ายพยาธิก็มีราคาสูง คุณพันศักดิ์จึงได้นำสมุนไพรที่เป็นยาถ่ายพยาธิแพะไปในตัวมาปลูกในสวนปาล์ม ทำให้สามารถแก้ไขปัญหานี้ไปได้อย่างสมบูรณ์ นี่คือความสำเร็จที่น่าชื่นชม
3.แต่ประเด็นที่ท้าทายสำหรับผม และทีมงาน คือ การนำแนวทาง “เลี้ยงแพะในสวนปาล์ม” ไปขยายผลกับชาวสวนปาล์มรายย่อยอีกประมาณ 200-300 ราย ให้สำเร็จนั่นหมายความว่า ชาวสวนปาล์มกลุ่มนี้จะต้องผ่านการเรียนรู้การเลี้ยงแพะในสวนปาล์มด้วยการฝึกปฏิบัติจริง โดยคุณพันศักดิ์ได้รับปากที่จะเข้ามาร่วมทีมสนับสนุนในเรื่องนี้แล้ว ร่วมกับทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ(ในภาคใต้) ที่จะทำหน้าที่วิเคราะห์ปัญหา และกระบวนการทำงาน ให้อำนวยต่อการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ที่สูงขึ้น ทั้งในเรื่องของการเลี้ยงแพะ และการปลูกปาล์ม
สำหรับปาล์ม นอกจากเรื่องผลิตภาพแล้ว งานอีกส่วนที่ทีมอาจารย์ต้องหาคำตอบให้ได้ คือการสร้างมูลค่าจากทุกส่วนของผลปาล์ม ตั้งแต่เม็ดใน กะลา ซังปาล์ม เปลือกผลปาล์ม เป็นต้น โดยข้อมูลล่าสุดนั้นทีมงานจากมหาวิทยาลัยประเมินกันว่า ส่วนประกอบของผลปาล์มน่าจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ จากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีมูลค่าใดๆ ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนประกอบต่างๆ ของผลปาล์ม ให้เกิดมูลค่าอย่างแท้จริง คาดว่าไม่น่าเกิน 3 ปี เราจะมีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มเติมเข้ามาอย่างแน่นอน
4.อีกประเด็นที่ผมและทีมงานให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คือเรื่องของการกำหนดปริมาณเปอร์เซ็นต์น้ำมันของปาล์ม จากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่คงปริมาณรับซื้อไว้ที่ 18% ทั้งๆ ที่เกษตรกรที่บริหารจัดการสวนปาล์มอย่างดีสามารถสร้างเปอร์เซ็นต์น้ำมันขั้นสูงได้ถึง 24 % เลยทีเดียวตรงนี้ทางทีมงานก็มีความคิดกันว่า ควรต้องเจรจากับโรงสกัดน้ำมันในพื้นที่ให้ยอมรับซื้อผลปาล์มในราคาที่สะท้อนคุณภาพของเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่แท้จริง เพื่อยกระดับการทำสวนปาล์มให้เน้นไปในเรื่องของการสร้างคุณภาพมากขึ้น ด้วยแรงจูงใจด้านรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้น เชื่อว่า กระบวนการในการดูแลสวนปาล์มของชาวบ้านน่าจะมีความพิถีพิถันมากยิ่งขึ้นไปด้วย ส่งผลไปยังการพัฒนาคุณภาพของการปลูกปาล์มทั่วประเทศ
นี่คือแนวทางที่เราจะนำมาสร้างระบบการทำสวนปาล์มคุณภาพ ด้วยการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้เสริม ผ่านกระบวนการและกลไกต่างๆ ที่ได้นำเสนอไปแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด และเป็นงานยากมากๆ ก็คือ การปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงานที่กดทับชาวสวนปาล์มอยู่ในตอนนี้
ผมหวังว่า จะมีรัฐบาลที่ยืนเคียงข้างชาวสวนปาล์ม และปรับโครงสร้างนั้นด้วยนโยบายที่คำนึงถึง “ความเป็นธรรมทางสังคม” อย่างแท้จริง และสามารถนำไปสู่การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมระหว่างชาวสวนปาล์ม โรงสกัด โรงกลั่น และธุรกิจน้ำมันของประเทศ ทั้งหมดนี้คือ “กระบี่แม่นยำ” โครงการที่ผม คณะกรรมาธิการวิทย์กระทรวง อว. และทีมงาน ได้ร่วมด้วยช่วยกันทำ จนสามารถนำมาเล่าให้ฟังได้อย่างภาคภูมิใจครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี