ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นอาจารย์ที่ผู้อยู่ใกล้ชิดจะลืมเรื่องต่าง ๆ และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินไม่ได้ตลอดไปเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ บรรดาลูกศิษย์ท่านที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่เวลานี้มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน แต่ละองค์มีนิสัยวาสนาและปฏิปทาเครื่องดำเนินภายใน ตลอดความรู้อรรถธรรมและความรู้พิเศษแปลกต่างกันไปเป็นราย ๆ
เท่าที่เขียนตอนต้นได้ระบุนามลูกศิษย์ท่านผ่านมาบ้างแล้ว ที่ยังมิได้ระบุนามท่านก็มี จึงได้เรียนไว้ว่า เมื่อดำเนินเรื่องท่านเจ้าของประวัติไปพอสมควร หากมีเวลาก็จะระบุนามคณะลูกศิษย์ท่านต่อไปอีกดังนี้ จึงได้เริ่มฟื้นนามลูกศิษย์ท่านขึ้นมาอีก พอทราบบ้างว่าท่านดำเนินและรู้กันอย่างไร ท่านประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มาอย่างไรบ้างแต่ละองค์ตามคติธรรมดา พระพุทธเจ้าทรงเผชิญความลำบากและรู้ธรรมอย่างไรบ้าง บรรดาสาวกก็ย่อมเดินตามรอยพระบาทที่ทรงพาดำเนิน ตลอดความรู้ความเห็นก็เป็นไปตามร่องรอยของศาสดาแบบศิษย์มีครู บรรดาลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันทางปฏิปทาเครื่องดำเนิน ส่วนการประสบเหตุการณ์ภายนอกที่น่าตื่นเต้นหวาดเสียว มีต่าง ๆ กันไปตามสถานที่อยู่บำเพ็ญและที่เที่ยวไป ไม่เหมือนกัน
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ก็ทำให้ระลึกเลื่อมใสและบูชาท่านอาจารย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ท่านอาจารย์ ที่มีการเที่ยวธุดงคกรรมฐานแตกต่างจากหมู่คณะอยู่บ้าง จึงขอประทานโทษนำเรื่องท่านออกมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ทราบบ้างในสมัยปัจจุบันว่า สิ่งที่เคยมีในครั้งพุทธกาลอันเป็นส่วนภายนอกอาจยังมีในสมัยนี้ได้อยู่บ้างหรืออย่างไร คือเราเคยได้ยินหรือได้เห็นในหนังสือ ว่าช้างมาถวายอารักขา และลิงมาถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น เรื่องคล้ายคลึงกันในสมัยนี้ก็อาจเป็นเรื่องของท่านอาจารย์องค์นี้ จึงขอประทานออกนามท่านด้วย เพื่อเป็นหลักฐานไว้กับเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
ท่านมีนามว่า “ท่านพระอาจารย์ชอบ” อายุคงย่างเข้า ๗๐ ปี จำไม่ถนัด ทราบว่าท่านบวชมานาน การปฏิบัติท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นิสัยท่านชอบออกเดินทางในเวลาค่ำคืน ท่านจึงชอบเจอสัตว์จำพวกค่ำคืนมีเสือเป็นต้นเสมอ
บ่ายวันหนึ่งท่านออกเดินทางจากหล่มสัก เพชรบูรณ์ มุ่งไปทางจังหวัดลำปาง เชียงใหม่ พอจวนจะเข้าดงหลวงก็พบชาวบ้าน เขาบอกท่านด้วยความเป็นห่วงว่า ขอนิมนต์ท่านพักอยู่หมู่บ้านแถบนี้ก่อน เช้าวันหลังค่อยเดินทางต่อไป เพราะดงนี้กว้างมาก ถ้าตกบ่ายแล้วเดินทางไม่ทะลุดงได้เลย ถ้าเดินไม่ทะลุป่าในตอนกลางวัน โดยมากคนมักเป็นอาหารเสืออยู่เสมอ เพราะความไม่รู้ระยะทางใกล้ไกล ดังนี้พอบ่ายไปแล้วเดินทางไม่ทะลุแน่ และตอนกลางคืนเสือออกมาเที่ยวหากินทุกคืน ถ้าเจอคนแล้วมันก็ถือเป็นอาหารของมันเลย ไม่มีรายใดผ่านปากเสือไปได้ นี่ก็กลัวพระคุณเจ้าจะเป็นเช่นนั้น จึงไม่อยากให้ไปในเวลาบ่ายแล้วเช่นวันนี้ ป้ายประกาศเขาปิดไว้เพื่อผู้เดินทางจะได้อ่าน และทราบเรื่องของดงยักษ์นี้แล้วไม่กล้าไป ยักษ์จะได้ไม่กินเป็นอาหารของมัน
ท่านถามเขาว่า ยักษ์อะไรกัน เคยได้ยินแต่โบราณท่านว่าไว้ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยได้เห็นได้ยินเลย เพิ่งมาได้ยินเอาวันนี้เอง
เขาเรียนท่านว่า ยักษ์เสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนนั่นเองท่าน มิใช่ยักษ์อื่นที่ไหนหรอก ถ้าไปไม่ทะลุดง เสือต้องกินเป็นอาหารแน่นอน จึงขอนิมนต์ท่านกลับคืนไปพักค้างที่บ้านแถบนี้เสียก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จแล้วค่อยเดินทางต่อไป
แต่ท่านไม่ยอมกลับและจะขอเดินทางต่อไปในวันนั้น เขาเรียนถามท่านด้วยความเป็นห่วงว่า บ่ายขนาดนี้ใครจะเดินเร็วขนาดไหนต้องมืดอยู่กลางดงใหญ่นี้ไม่มีทางพ้นไปได้เลย ท่านไม่ฟังเสียงเขาเลย มีแต่จะไปท่าเดียว
เขาถามท่านว่า "ท่านกลัวเสือไหม"
ท่านตอบเขาว่า "กลัว แต่จะไป"
ชาวบ้านเรียนท่านว่า "หากมันมาเจอแล้ว อย่างไรมันก็ไม่หนีคนเลย ต้องกินเป็นอาหารแน่นอน ถ้าท่านกลัวเสือกินคน ท่านก็ไม่ควรไป เพราะถ้าขืนไป มันก็กินท่านจนได้"
ท่านตอบว่า "ถ้ากรรมมาถึงตัวแล้วก็ยอมเป็นอาหารของมันไปเสีย ถ้ากรรมยังสืบต่ออยู่มันคงไม่กิน"
ว่าแล้วก็ลาเขา ออกเดินทางไปอย่างไม่อาลัยเสียดายชีวิตเลย
พอก้าวเข้าในดงมองดูสองฟากทางมีแต่รอยเสือตะกุยดิน ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวทั้งเก่าทั้งใหม่เต็มไปตลอดทาง ท่านก็เดินภาวนาเรื่อยไป ดูรอยเสือตามทางเรื่อยไป ใจก็ไม่กลัว พอมืดก็ถึงกลางดงพอดี ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเสือโคร่งใหญ่กระหึ่มตามมาข้างหลัง ตัวหนึ่งกระหึ่มมาทางด้านหน้า ต่างร้องมาหากัน ตัวอยู่ข้างหลังก็ร้องใกล้เข้ามาจวนจะทันท่าน ตัวอยู่ข้างหน้าก็ร้องใกล้เข้ามาหาท่าน และต่างตัวต่างร้องใกล้เข้ามาทุกที ๆ ผลสุดท้ายทั้งตัวอยู่ข้างหน้าทั้งตัวอยู่ข้างหลังก็มาถึงท่านพร้อมกัน พอมาถึงท่านแล้วยิ่งกระหึ่มใหญ่
พอเห็นท่าไม่ดี ท่านก็หยุดยืนนิ่งปลงอนิจฺจํว่า เราคงครั้งนี้แน่เป็นครั้งยุติของชีวิต เพราะมองไปดูตัวอยู่ข้างหน้า ก็กำลังทำท่าทำทางจะโดดมาตะครุบท่าน ชำเลืองตาไปดูตัวอยู่ข้างหลัง ก็กำลังทำท่าจะโดดมาตะครุบท่านอยู่เช่นเดียวกัน แต่ละตัวอยู่ห่างจากท่านราววาเศษเท่านั้น ขณะนั้นปรากฏว่าจิตกลัวจนเลยกลัว ยืนตัวแข็งโด่อยู่กับที่ แต่สติยังดีจึงกำหนดจิตให้ดีไม่ให้เผลอ แม้จะตายในขณะนั้นเพราะเสือกินก็ไม่ให้เสียที
พอได้สติก็กำหนดย้อนกลับจากเสือเข้ามาหาตัวโดยเฉพาะ จิตก็รวมลงอย่างสนิทในขณะนั้น ความรู้ผุดขึ้นมาว่า เสือกินไม่ได้แน่นอน ดังนี้ จากนั้นก็หายเงียบไปเลยทั้งเสือทั้งคน ไม่รู้สึกว่าตนยืนอยู่หรือนั่งอยู่ ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอก ตลอดร่างกายได้หายไปโดยสิ้นเชิงในเวลานั้น ความหมายว่าเสือก็หายไปพร้อม ๆ กัน ยังเหลืออยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงเพียงอันเดียวทรงตัวอยู่ในขณะนั้น จิตรวมลงอย่างเต็มที่ คือถึงฐานแห่งสมาธิแท้และนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงจึงถอนขึ้นมา
พอจิตถอนขึ้นมาตัวเองยังยืนอยู่อย่างเดิม บ่าแบกกลดและสะพายบาตร มือข้างหนึ่งหิ้วโคมไฟเทียนไข ส่วนไฟดับแต่เมื่อไรไม่ทราบได้เพราะจิตรวมอยู่นาน
พอจุดไฟสว่างขึ้น แล้วตามองไปดูเสือสองตัวนั้นเลยไม่เห็น ไม่ทราบว่าพากันหายไปไหนเงียบ ขณะที่จิตถอนขึ้นมานั้นมิได้คิดกลัวอะไรเลย แต่มีความอาจหาญเต็มดวงใจ ขณะนั้นแม้เสือจะมาอีกสักร้อยตัวพันตัวใจก็ไม่มีสะทกสะท้านเลย เพราะได้เห็นฤทธิ์ของใจและของธรรมประจักษ์แล้ว เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วยังเกิดความอัศจรรย์ตัวเองว่า รอดปากเสือมาได้อย่างไรกัน และอัศจรรย์จนไม่มีอะไรเทียบได้
ขณะนั้นทำให้เกิดความรักความสงสารเสือตัวนั้น ว่าเป็นคู่มิตรมาให้อรรถให้ธรรมเราอย่างถึงใจ แล้วก็พากันหายไปราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้คิดถึงมันมากแทนที่จะกลัวเหมือนครั้งแรกพบ
ท่านว่าเสือโคร่งทั้งสองตัวนั้นใหญ่มาก ตัวขนาดม้าที่แข่งอยู่ที่สนามม้านางเลิ้ง กรุงเทพฯ เราดี ๆ นี่เอง แต่ตัวมันยาวกว่าม้ามากมาย หัวมันวัดผ่าศูนย์กลางคงได้ราว ๔๐ เซนติเมตร ใหญ่พิลึก ไม่เคยพบเคยเห็นนับแต่เกิดมา ฉะนั้นเมื่อเห็นมันทีแรกจึงยืนตัวแข็งโด่ราวกับตายไปแล้ว เพียงแต่ยังมีสติดีอยู่เท่านั้น
หลังจากจิตถอนขึ้นมาแล้วมีแต่ความรื่นเริงเย็นใจ คิดว่าไปที่ไหนไปได้ทั้งนั้น ไม่คิดกลัวอะไรเลยในโลก และมิได้คิดว่าจะมีอะไรสามารถทำลายได้ เพราะได้เชื่อจิตเชื่อธรรมว่าเป็นเอกในโลกทั้งสามอย่างเต็มใจเสียแล้ว
หลังจากนั้นก็ออกเดินทางด้วยวิธีจงกรมไปในตัว อย่างเยือกเย็นเห็นผลในธรรมเต็มดวงใจ ไม่หวั่นไหว จิตมีความระลึกคิดถึงเสือคู่มิตรทั้งสองตัวนั้นมิได้ลืมเลย ถ้าเผื่อเห็นมันอีกคราวนี้ คิดว่าจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันเล่นได้อย่างสบาย ราวกับสัตว์เลี้ยงในบ้านเราดี ๆ นี่เอง แต่มันจะยอมให้เราลูบคลำหรือไม่เท่านั้น
การเดินทางในคืนวันนั้น หลังจากพบเสือแล้วมีแต่ความวิเวกวังเวงและรื่นเริงในใจไปตลอดทาง จนสว่างก็ยังไม่ทะลุดงเลย กว่าพ้นดงไปถึงหมู่บ้านก็ราว ๙ น.กว่า จึงเตรียมครองผ้าเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น พอชาวบ้านเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตต่างก็ร้องบอกกันมาใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จ เขาก็ตามท่านออกมาที่พักซึ่งวางบริขารที่ไม่จำเป็นไว้ที่นั้น และถามถึงการมาของท่าน ท่านก็บอกว่า มาจากที่โน้น ๆ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว มีความประสงค์จะเที่ยววิเวกไปเรื่อย ๆ
บ้านแถบนั้นเป็นบ้านป่าบ้านดงกันทั้งนั้น พอเห็นท่านผ่านมาจากทางดงหลวงผิดเวลา จึงพากันถามท่าน ก็ทราบว่า ท่านเดินผ่านดงหลวงมาตลอดคืน ไม่ได้พักหลับนอนที่ไหนเลย
พวกเขาพากันตกใจว่าท่านมาได้อย่างไร เพราะทราบกันดีว่าใครก็ตามถ้าผ่านดงนี้มาผิดเวลา ต้องเป็นอาหารเสือโคร่งใหญ่ในดงนี้กันแทบทั้งนั้น แล้วท่านมาได้อย่างไร เสือถึงไม่เอาท่านเป็นอาหารเล่า
เขาถามท่านว่า ขณะท่านเดินผ่านดงใหญ่มาเจอเสือบ้างหรือเปล่าตลอดคืนที่มา
ท่านก็บอกว่าเจอเหมือนกัน แต่มันไม่ได้ทำอะไรอาตมา
เขาไม่อยากจะเชื่อท่าน เพราะเสือเหล่านี้คอยดักกินคนที่ตกค้างในป่าในเวลาค่ำคืนอยู่เป็นประจำ เมื่อท่านเล่าพฤติการณ์ระหว่างท่านกับเสือเจอกันให้เขาฟังแล้ว เขาถึงได้ยอมเชื่อว่า เป็นอภินิหารของท่านโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับรายอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหารเสือแทบทั้งนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ไม่น้อย เพราะปกติคนที่เดินผ่านดงที่ว่านี้ โดยมากก็มักเป็นอาหารเสือกันดังกล่าว ความไม่รู้หนทางและระยะทางใกล้ไกล ตลอดอันตรายต่าง ๆ ที่อาจมีในระหว่างทาง นับว่าเป็นอุปสรรคแก่การเดินทาง ไม่ว่าทางภายในคือทางใจ และทางภายนอกคือทางเดินด้วยเท้า ย่อมอาศัยผู้เคยเดินเป็นผู้นำทางจึงจะปลอดภัย นี่เป็นเรื่องควรคิดสำหรับพวกเราผู้กำลังเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและความสุขความเจริญแก่ตนทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่ควรประมาทว่าตนเคยคิดเคยพูดเคยทำและเคยเดิน โดยมากมักเป็นความเคยในทางที่ผิดมาแล้ว จึงชอบพาคนไปในทางผิดอยู่เสมอโดยไม่เลือกวัยและเพศ ถ้าเดินไม่ถูกทาง
ท่านอาจารย์องค์นี้ชอบจะพบเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่เสมอ ในชีวิตนักบวชที่ท่านดำเนินมา
...............................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ 12 โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "เรื่องพระอาจารย์ชอบฝ่าดงเสือ" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-12.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี