เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “แรงงานข้ามชาติ” หรือ “แรงงานต่างด้าว” มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศที่มีระดับการพัฒนาค่อนไปทางสูง ไม่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศกำลังพัฒนารายได้สูงก็ตาม แม้หลายประเทศในทางกฎหมายควบคุมคนเข้าเมืองจะเข้มงวด แต่ในทางปฏิบัติก็ยังพบข่าวคนจากประเทศที่พัฒนาน้อยกว่า ลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศที่พัฒนามากกว่าอยู่เนืองๆ นั่นเพราะงานบางประเภทคนท้องถิ่นของประเทศที่มีการพัฒนาแล้วส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ทำ
สำหรับประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ด้านหนึ่งทำให้รัฐบาลต้องควบคุมการเดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มงวดทั้ง
ชาวต่างชาติรวมถึงคนไทยที่เดินทางกลับแผ่นดินเกิด เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่อีกครั้งจากการนำเข้าเชื้อ แต่อีกด้านหนึ่งก็กระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนัก ทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ลำพังเม็ดเงินจากชาวไทยด้วยกันไม่เพียงพอจะหล่อเลี้ยงให้กิจการอยู่รอดได้ และทั้งกิจการอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้แรงงานข้ามชาติก็ขาดแคลนคนงานไปด้วย
เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีการจัดงานวันผู้ย้ายถิ่นสากลปี 2563 (International Migrants Day 2020) โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “แรงงานข้ามชาติกับโควิด-19 : เราทิ้งใครไว้ข้างหลัง”บอกเล่าสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 ซึ่ง อดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ตั้งข้อสังเกตว่านโยบายด้านแรงงานข้ามชาติของไทยมีความตึงตัว ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้
“หลายคนเมื่อถูกเลิกจ้างก็ไม่สามารถย้ายนายจ้างได้โดยง่าย เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้แรงงานข้ามชาติจะต้องพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นความผิดของ
นายจ้างเดิม หรือชดใช้ค่าเสียหายให้นายจ้างเดิม และต้องหานายจ้างใหม่ภายใน 30 วัน ซึ่งไม่สามารถทำได้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการยึดกฎหมายเป็นหลักโดยไม่ผ่อนปรนในกรณีนี้ทำให้แรงงานข้ามชาติจำนวนหนึ่งหลุดจากการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย นอกจากนั้นแล้วยังพบนายจ้างจำนวนหนึ่งที่เลิกจ้างโดยใช้วิธีการไม่ต่อใบอนุญาตทำงานที่กำลังดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล” อดิศร กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังขาดความชัดเจนในการจัดการแรงงานข้ามชาติที่รอเข้าประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติมากกว่า1 แสนคนที่รอเดินทางเข้าประเทศ ทั้งที่มีใบอนุญาตทำงานและมีวีซ่าทำงานอยู่ ซึ่งได้ขอวีซ่ารักษาสิทธิใบอนุญาตทำงาน (Re-Entry Visa) เพื่อเดินทางกลับประเทศแล้วยังไม่ได้กลับเข้ามา ประมาณ 69,235 คน
และที่ยังไม่มีใบอนุญาตทำงานและวีซ่า ที่นายจ้างได้ยื่นหนังสือแสดงความต้องการ (Demand Letter) ไปที่ประเทศต้นทางแล้ว และนายจ้างยังต้องการนำเข้ามา
แต่ไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ ประมาณ 42,168 คน ทั้งนี้ แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ที่ขอนำเข้าตาม MoU ที่รอการดำเนินการได้กู้ยืมเงินเพื่อมาใช้ในการเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย เมื่อไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้แต่ดอกเบี้ยเงินกู้และภาระหนี้สินยังเพิ่มขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหา 2 ประการคือ 1.ภาคธุรกิจขาดแคลนแรงงาน 2.มีการลักลอบเดินทางเข้ามาทำงาน
เช่นเดียวกับ สุธาสินี แก้วเหล็กไหลผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ ระบุว่า ช่วงที่มีการสั่งปิดกิจการต่างๆ ไปเป็นจำนวนมาก พบแรงงานไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคม เพราะนายจ้างไม่ยอมแจ้งออกจากงานเพราะหวังว่าวันที่สถานการณ์โควิด-19คลี่คลายลงจะเรียกคนงานเหล่านี้กลับมา “ไม่แจ้งออก แต่ก็ไม่รับผิดชอบในการจ่ายเงินตอนหยุดชั่วคราว ไม่มีค่าชดเชยถ้าให้ออก โดยอ้างว่าโควิด-19 มาไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย ถือเป็นการฉกฉวยโอกาสในพริบตาเดียว” ทำให้แรงงานเข้าไม่ถึงสิทธิที่ควรได้รับ
อนึ่ง ปัจจุบัน เมียนมา ประเทศที่มีผู้คนเดินทางเข้ามาทำงานในไทยมากที่สุด มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรงโดยพบผู้ติดเชื้อกว่า 1 แสนราย เรื่องนี้น่าเป็นห่วงการลักลอบเข้าประเทศแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเมื่อในประเทศต้นทางไม่มีงานทำเพราะกำลังได้รับผลกระทบจากโรคระบาด คนที่หิวโหยย่อมอยากออกไปหางานทำในต่างแดนเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว กลายเป็นโอกาสของนายหน้านำพาแรงงาน
“ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้รัฐบาลสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก โดยต้องเริ่มต้นจากแรงงานที่ยังตกค้างอยู่ในไทยก่อน ต้องตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย แต่มาผิดในประเทศไทย ซึ่งสาเหตุมาจากการเกิดโรคระบาด ดังนั้นรัฐจะต้องเปิดโอกาสให้เขาเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องทั้งหมด หลังจากนั้นให้เขามีงานทำ คนงานจะได้ไม่ต้องลักลอบเข้ามา ซึ่งจะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย”สุธาสินี กล่าว
ด้าน ชูวงศ์ แสนคง คณะทำงานด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวเสริมว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้แรงงานข้ามชาติ ถูกทิ้งออกจากระบบสุขภาพ โดยได้รับผลกระทบดังนี้ 1.แรงงานที่หลักประกันสุขภาพหมดอายุ ไม่สามารถซื้อหลักประกันใหม่ได้เพราะยุ่งยากในการเดินทางไปดำเนินการตามขั้นตอน สถานบริการสุขภาพที่เคยขายบัตรสุขภาพหยุดขาย ความไม่ชัดเจนในเรื่องการขายบัตรสุขภาพ
2.การเดินทางไปรับบริการด้านสุขภาพมีปัญหา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง เพราะมีการจำกัดการเดินทางข้ามไป-มาระหว่างพื้นที่ ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเดินทางจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยไปรับยาที่ต้องใช้ต่อเนื่องจากสถานบริการสุขภาพที่ตั้งอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่งได้ และ 3.มีความไม่ชัดเจนด้านมาตรการกักตัว ทั้งเรื่องสถานที่และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการกักตัว
นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนของ Khaing Min Lwin แรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ที่กล่าวว่า “ภาษา” ยังเป็น “ช่องว่าง” ที่ทำให้แรงงานข้ามชาติไม่ค่อยกล้าไปโรงพยาบาล เนื่องจากหลายแห่งไม่มีล่ามที่เข้าใจภาษาของแรงงานจึงเป็นข้อจำกัดด้านการสื่อสารไปโดยปริยาย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี