เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “แรงงานข้ามชาติสิงคโปร์บนแผ่นฟิล์ม : มองผ่านภาพยนตร์ No Day Off ของผู้กำกับ Eric Khoo” โดยภาพยนตร์ No Day Off ออกฉายในปี 2549 เอริก คู
(Eric Khoo) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวสิงคโปร์ นำเสนอในรูปแบบหนังสั้นความยาวประมาณ 40 นาที เล่าชะตากรรมแรงงานข้ามชาติในประเทศของตน ผ่านเหตุการณ์จำลองของตัวละครหญิงชาวอินโดนีเซียวัย 24 ปี “ซีติ (Siti )”ที่ใช้เวลา 3 ปี เป็นลูกจ้างทำงานบ้าน หรือคนรับใช้ในครัวเรือนชาวสิงคโปร์
ผศ.อนงค์นาฏ รัศมีเวียงชัย อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่า เมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรกก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะแตกต่างไปจากสิงคโปร์ในมุมที่เคยรู้จัก หรือในพื้นที่สื่ออื่นๆ ที่เคยเผยแพร่ผ่านตา กล่าวคือ “สิงคโปร์มีภาพลักษณ์เป็นประเทศร่ำรวย” เป็นประเทศแห่งการเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี ตึกรามบ้านช่องดูสวยงาม ระบบคมนาคมสะดวกสบาย “แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือแรงงานข้ามชาติ” ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเหมือนการดึงคนกระแสรองในสังคมสิงคโปร์ขึ้นมาเล่าในฐานะตัวละครหลัก
“มีแรงงานข้ามชาติทั้งอินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ มาอยู่ที่สิงคโปร์เยอะขนาดนี้เลยหรือ? ในประเทศขนาดไม่ใหญ่ไม่น้อยกว่ากรุงเทพมหานคร มีมากขนาดนั้นเลยหรือ? ภาพยนตร์เรื่องนี้สมมุติว่ามีโอกาสได้ฉายให้ผู้ชมได้ดู เราจะเห็นว่าภาพยนตร์จะเล่าเป็นแบบแทรกไปกับตัวหนังสือ แทรกไปกับข้อมูลที่เป็น Fact (ข้อเท็จจริง) เช่น ตั้งแต่ปี 1997-2005 (2540-2548) ก็คือช่วงที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำปี 2006 (2549) ให้ข้อมูลว่ามีจำนวนแรงงานข้ามชาติเข้ามาในสิงคโปร์มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมันหลักหลายแสนคน ก็เลยเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างตกใจ
แล้วที่น่าตกใจอีกอันหนึ่งคือสถิติที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกาย หรือการเสียชีวิตของแรงงานข้ามชาติในประเทศสิงคโปร์มีค่อนข้างสูงมาก สูงจนแบบ โอ้โห!..มันกลายเป็นอาชญากรรมที่เราไม่เคยได้ยินเลย แม้กระทั่งเราอยู่ประเทศไทย อยู่ห่างกันแค่ 1 ชั่วโมงบินเท่านั้นเอง ก็เลยเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ เหมือนการเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับสิงคโปร์ภายใน 40 นาที” ผศ.อนงค์นาฏ กล่าว
ผศ.อนงค์นาฏ กล่าวต่อไปว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ เล่าเรื่องของครอบครัวนายจ้างที่แรงงานข้ามชาติไปทำงานอยู่เพื่อสะท้อนภาพสังคมสิงคโปรร์ เช่น ครอบครัวแรกเป็นชาวสิงคโปร์ที่ค่อนข้างมีฐานะดีและทำตามแนวคิด ความฝันแบบอเมริกัน (American Dream) ที่เชื่อว่าการทำงานหนักจะนำมาซึ่งฐานะร่ำรวย นิยมชมชอบประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ และไม่รับประทานอาหารจีน แต่รับประทานสเต็กที่มีราคาแพง
“Scene (ฉาก) นี้มันน่าสนใจ คือ 1.คนสิงคโปร์เป็นเหมือนค่อนข้างคลั่งตะวันตก แล้ว 2.นอกจากแรงงานข้ามชาติชาวอินโดนีเซีย ยังมีคนไทยด้วย แล้วความคลาสสิกของตัวละครที่เป็นคนไทยที่ปรากฏในสื่อภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็นของทางยุโรป อเมริกา คือขอใช้คำว่าส่วนมาก-ส่วนใหญ่ที่เราเห็นในหนังต่างชาติ มักจะถูกผูกติดอยู่กับภาพลักษณ์ เป็นผู้ชายถ้าไม่เตะ-ต่อยเก่งแบบ จา พนม (นักแสดงหนังแอ๊กชั่นชาวไทยที่โด่งดังระดับโลก) ก็จะกลายเป็นพวกอาชญากร พ่อค้ายา(เสพติด) ขณะที่ตัวละครผู้หญิงจะผูกกับการค้าบริการทางเพศ
อันนี้เป็นอะไรที่เหมือนกับภาพลักษณ์ตัวละครชาวไทยที่ถูกส่งออกไปในหนังหลากหลายเรื่องของหลากหลายประเทศ แล้วหนังเรื่องนี้ก็โผล่มาเหมือนกัน เฮ้ย!..ทำไมคุณไม่เอา Maid (สาวใช้) คนไทยมา จ่ายแพงขึ้นแต่ได้ Maid ฉลาดขึ้น ดูมาถึงตรงนี้เรารู้สึกดีใจ แต่เราจะดีใจไปทำไม เพราะก็มีการคุยกันต่อไปว่า Maid คนไทยมี Side Job (งานเสริม) เป็นโสเภณีทั้งนั้น” ผศ.อนงค์นาฏ เล่าถึงฉากที่นายจ้างสิงคโปร์พูดถึงคนรับใช้ที่เป็นผู้หญิงจากประเทศไทย
นักวิชาการด้านสื่อท่านนี้ ชวนคิดต่อไปว่า “หากลบคำว่าเชื้อชาติออกไป ไม่ว่าคนไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สุดท้ายพอไปอยู่ในพื้นที่ประเทศของคนอื่น ภาษาก็ไม่ได้ คนรู้จักก็ไม่มี อำนาจต่อรองก็น้อยลงไป” จึงไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นการดูถูกเหยียดหยาม เพราะแรงงานข้ามชาติก็รู้สึกว่าตนเองตัวเล็กลง รวมถึงพร้อมจะยอมเสียผลประโยชน์บางอย่างเพื่อเปิดผลประโยชน์บางอย่าง เช่น ยอมถูกกดค่าแรงเพื่อให้ได้รับงานมากขึ้น
“สิ่งนี้มันเกิดขึ้นเพราะรัฐเขาไม่ได้คุ้มครองหรือเปล่า อันนี้น่าตั้งคำถามกลับไป อันนี้จากมุมมองของคนที่ไม่รู้เลยนะ แต่พอมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ แล้วมันจะมี Scene หนึ่งที่เจ้าของบ้านบอกว่า..วันอาทิตย์ปกติจะเป็นวันหยุดของเธอ (สาวใช้ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ) แต่ฉันไม่ให้เธอหยุดหรอกนะ เพราะคนก่อนได้หยุดแล้วใช้วันอาทิตย์ไปหา Boyfriend (แฟนหนุ่ม) ไปทำอะไรไร้สาระ ฉะนั้นฉันจะไม่ให้เธอหยุด เธอจะไม่มีวันหยุด..
มันก็เลยทำให้เราเกิดความสงสัยว่า ในกระบวนการ Training (ฝึกอบรม) คนที่จะมาเป็น Maid สิงคโปร์ ดู Proper (เหมาะสม) นะ ดูมีทางการ มีระบบที่ชัดเจน มีการทดสอบ ตรวจร่างกายอะไรชัดเจนมาก แต่ทำไมการคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงานของคนเหล่านี้ถึงดูเหมือนมันไม่มีเลย เพราะนายจ้างสามารถกล้าพูดต่อหน้าลูกจ้างเลยว่าเธอจะไม่มีวันหยุด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แสดงว่ารัฐบาลเขาไม่ได้มาควบคุมดูแล” ผศ.อนงค์นาฏ ตั้งข้อสังเกต
และแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายตั้งแต่ปี 2549 แต่เมื่อไปไล่สืบค้นข้อมูลต่างๆ ผศ.อนงค์นาฏ กล่าวว่าในยุคปัจจุบันก็ยังพบข่าวหรือสถิติเกี่ยวกับปัญหาคุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติในสิงคโปร์อยู่เช่นเดิม จึงเป็นคำถามว่า ในขณะที่ผู้นำประเทศบอกว่าแรงงานข้ามชาติมีความสำคัญในฐานะฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่แรงงานข้ามชาติกลับไม่ค่อยได้รับการดูแลด้านสวัสดิภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
จากครอบครัวแรก ภาพยนตร์เล่าต่อไปถึงครอบครัวที่ 2 ที่แรงงานหญิงจากอินโดนีเซียไปทำงานด้วย คราวนี้ผู้กำกับภาพยนตร์สะท้อนภาพชนชั้นกลางชาวสิงคโปร์ที่พักอาศัยในอพาร์ทเมนท์ของรัฐ ยังต้องดิ้นรนทำงานแบบหาเช้ากินค่ำเพื่อให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้น ภายใต้สภาพสังคมที่กดดันจากการแข่งขันสูง จึงทำให้ชีวิตค่อนข้างเคร่งเครียด แล้วบางครั้งก็เอาความโกรธไปลงกับคนที่สามารถลงได้
ถึงกระนั้น ผศ.อนงค์นาฏ ยังตั้งข้อสังเกตต่อไปว่าเอริก คู ผู้กำกับภาพยนตร์ No Day Off ก็ไม่ได้ชี้ไปที่มุมเดียวแต่ยังชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามกลับกันด้วยว่าหรือสาวใช้ที่เป็นแรงงานข้ามชาติคนนี้จะไม่ฉลาดและไม่ขยันจริงๆ จากอากัปกิริยาในการทำงานบ้านในครอบครัวนายจ้าง ดังนั้นเมื่อชมภาพยนตร์จบแล้ว ผู้ชมควรจะเห็นใจในชะตากรรมของสาวใช้รายนี้ หรือยอมรับว่าสาวใช้ทำงานได้ไม่ดีจริงๆ กันแน่
สุดท้ายคือครอบครัวที่ 3 ที่สาวใช้รายนี้ไปอยู่ด้วย ครอบครัวนี้เป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดีย แต่สามารถใช้ภาษาเดียวกับสาวใช้ที่เป็นชาวอินโดนีเซียได้ “เมื่อพูดภาษาเดียวกันก็คุยกันรู้เรื่อง ความเป็นมนุษย์ก็ถูกเปิดเผยขึ้น..แต่ที่น่าสนใจคือ เหตุใดผู้กำกับถึงเลือกแสดงภาพครอบครัวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดียปฏิบัติกับแรงงานข้ามชาติดีมาก” ดูเป็นเพื่อนมนุษย์กันมากขึ้น
“เราก็ไปศึกษาต่อว่ามันเป็นเพราะอะไร คำตอบที่ได้ก็คือว่าชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เป็นชนกลุ่มน้อยเหมือนกัน คือมีจำนวนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรชาวสิงคโปร์ เพราะฉะนั้นมันเลยสามารถอนุมานพอจะได้ว่าเขาเหล่านี้ เชื้อสายอินเดียเหล่านี้อาจจะเคยประสบอย่างเดียวกับที่ซีติ (ตัวละครสาวใช้ชาวอินโดนีเซีย) เจอคือความแปลกแยก (Alienation) ของความรู้สึกเป็นชนกลุ่มน้อย คือมันจะคล้ายๆ กับว่าเพราะเราแตกต่างเราก็เลยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการเป็นมนุษย์ การมองเห็นกัน มันมีมากกว่า 2 ครอบครัวก่อนหน้านี้ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศสิงคโปร์ อันนี้น่าสนใจ แล้วเราก็จะเริ่มเห็นว่าซีติเริ่มยิ้มออกเป็นครั้งแรก แล้วมันก็จะมี Scene ในส่วนท้ายๆ ถ้าเราจะดูมาตลอดก็คือเราจะไม่เห็นตัวละครอื่นเลย มันจะโผล่มาแค่นิ้วเดียว หัวไหล่ปลายผม แต่ใน Scene ที่เจ้าของบ้านเป็นชาวอินเดีย จะเป็นครั้งแรกที่เราเห็นตัวละครอื่น ซึ่งน่าสนใจแล้วลองให้คนดูได้ตีความ ได้ลองจินตนาการต่อเติมเข้าไปอีก” ผศ.อนงค์นาฏ กล่าวถึงช่วงท้ายของภาพยนตร์
ด้าน ผศ.ดร.สร้อยมาศ รุ่งมณีอาจารย์วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วยอึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็นว่า เมื่อชมภาพยนตร์ไปสักพักก็รู้สึกเห็นใจตัวละครที่มาจากสังคมชนบท ซึ่งในอินโดนีเซียคงไม่ต่างจากไทย เมื่อครอบครัวต้องการเงินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต แต่อาชีพเกษตรกรรมไม่สามารถคาดหวังได้เพราะไม่รู้ว่าปีนี้สภาพอากาศจะเป็นอย่างไรหรือผลผลิตจะดีหรือไม่ จึงต้องออกไปขายแรงงาน
“ในฐานะผู้ดู คิดว่าเข้าใจคนที่ตัดสินใจย้ายถิ่นแบบนี้ ว่ามันมีภาวะจำเป็น เราก็อยากให้ลูกเราเข้าโรงเรียนเราอยากมีบ้านที่มั่นคงแข็งแรง ไม่ใช่อยู่แบบกระต๊อบ ลมมาทีหนึ่งหลังคาปลิว คืออยากได้บ้านที่คือแบบเป็นปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนั้นเลย หรืออยากได้มอเตอร์ไซค์ ก็บ้านมันไกลกว่าจะถึงรถเมล์ มันต้องข้ามเขาไปกี่ลูก ก็อยากจะได้มอเตอร์ไซค์ ซึ่งหนทางที่จะได้เงินก้อนคือต้องอย่างนี้แล้วก็ต้องยอมเสี่ยง
ซึ่งอันนี้ถ้าเทียบกับของไทยก็คือคนที่ย้ายถิ่นมีทั้งหญิงทั้งชายคล้ายๆ กัน เป็นภาวะของ Southeast Asia (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) แต่ว่าสงสารไหม?..สงสาร ถ้าเกิดไปอยู่ในบ้านหรือครอบครัวที่ดีก็ถือว่าโชคดีมาก ซึ่งก็มีแรงงานแบบนั้น ในขณะที่โชคร้ายได้นายจ้างที่ไม่ดี ก็กดขี่ด้วยทุบตีด้วย อันนี้เป็นภาวะที่คิดว่าแต่ละรัฐต้องหากลไกป้องกันจะทำอย่างไร”
ผศ.ดร.สร้อยมาศ กล่าว
ผศ.ดร.สร้อยมาศ กล่าวต่อไปว่า ในขณะที่แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยมีองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) คอยดูแล ถึงขั้นมีความเคลื่อนไหวอยากให้มีสหภาพแรงงานของแรงงานข้ามชาติเพื่อจะต่อรองกับนายจ้าง รวมถึงมีหน่วยงานองค์การระหว่างประเทศเข้ามาสร้าง Best Practice (แนวปฏิบัติที่ดี) ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร สิงคโปร์แม้มีมาตรฐาน แต่การนำไปปฏิบัติจริงอาจเป็นเรื่องยาก ด้วยปัญหาด้านวัฒนธรรมบางอย่างที่ฝังหัวไปแล้ว
ส่วนประเด็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดียในภาพยนตร์ที่ปฏิบัติกับแรงงานข้ามชาติดีมากนั้น คาดว่านอกจากเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศแล้ว การที่คนส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีนและใช้ภาษาจีนกับภาษาอังกฤษเป็นหลัก ในขณะที่ชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดียใช้ภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาของสาวใช้จากอินโดนีเซียซึ่งทำให้สื่อสารกันรู้เรื่อง และนำไปสู่การดูแลแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เช่น ผู้สูงอายุในครอบครัวเชื้อสายอินเดียถามว่าจะดื่มเบียร์ได้ไหม สาวใช้ก็ตอบว่าไม่ได้ ในขณะที่ผู้สูงอายุในครอบครัวเชื้อสายจีนพูดภาษาจีนใส่แล้วสาวใช้ก็ทำหน้างงๆ ไม่รู้เรื่อง
แต่ท้ายที่สุด “แรงงานย้ายถิ่นข้ามชาติจะยังคงมีอยู่ต่อไป..ตราบเท่าที่ค่าจ้างไม่เท่าเทียมกันในทุกประเทศและไม่อยู่ในระดับที่สามารถดำรงชีพอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้” ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะธุรกิจจำนวนมากต้องการลงทุนภายใต้ค่าแรงที่ถูกเพื่อทำการผลิตได้ในราคาถูก..ในระบบทุนนิยม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี