1.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงใหญ่ มีกำลังคนเยอะหน่วยงานเยอะ และมีความสลับซับซ้อนในระบบงานพอสมควร ดังนั้น การทำหน้าที่บริหารคนและนโยบายในกระทรวงแห่งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และวางลำดับความสำคัญของความสำเร็จที่ต้องการให้เกิดขึ้นไว้อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญ คือ ต้องระวัง “ความโลภ และกิเลส” ของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้เข้ามาครอบงำความคิด และการกระทำ ไม่ว่าจะมาจากการหว่านล้อมชักจูงจากบุคคลใดหรือเพราะอำนาจบารมีของตัวเองก็ตาม
เมื่อตั้งหลักได้แล้ว 4 ประเด็นจากนี้ไป คือ แนวทางสำคัญในส่วนของการสร้างคุณภาพให้กับระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ที่ผมจะมีความยินดีมาก ถ้าท่านรัฐมนตรีคนใหม่สนใจ และนำไปปรับใช้อย่างเหมาะสมกับนโยบาย และกระบวนการที่ทีมงานของท่านได้เตรียมเอาไว้
ประการที่หนึ่ง นโยบายและการบริหารงานใดๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ “นักเรียน และชั้นเรียน” เป็นหลัก งานใด หรือนโยบายไหน ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน ควรชะลอไปก่อน ซึ่งสำหรับผมมองว่า งานที่ส่งผลประโยชน์ต่อตัวนักเรียน และชั้นเรียน ที่ทำกันมาอย่างยาวนาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จเสียที ได้แก่ 1. การกระจายอำนาจให้โรงเรียน โดยเฉพาะงบประมาณ 2. การนำระบบฝึกหัดครูกลับมาสร้างครูใหม่ และ 3. เปลี่ยนวิธีการสอนของครูในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน นี่เป็นสิ่งที่ผม (และอีกหลายคน) หวังว่ารัฐมนตรีท่านนี้จะทำได้สำเร็จ และแม้จะไม่สามารถครอบคลุมทุกชั้นเรียนได้ ก็อาจกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย อาทิ จำนวนโรงเรียน หรือชั้นเรียน แล้วทุ่มงบประมาณอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประสบความสำเร็จภายใน 2 ปี (อายุรัฐบาลนี้)
2.ประการที่สอง การจัดซื้อจัดจ้าง และการแต่งตั้งโยกย้าย เป็นเรื่องที่ทำลายอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาหลายท่านแล้ว เพราะกระทรวงแห่งนี้ มีงบประมาณกว่า 300,000 ล้าน ซึ่งถือว่ามหาศาล ดังนั้น ข้าราชการบางคน และเอกชนบางกลุ่ม ก็จะหาแนวทางในการเสนอโครงการใหม่ๆ อยู่เป็นระยะๆ ในจำนวนเงินที่สูง และวางจุดมุ่งหมายอันเชื่อมโยงไปกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและยกระดับการบริหารให้มีประสิทธิภาพ
แต่ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ โครงการเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การซื้ออุปกรณ์จำนวนมาก และเทคโนโลยีทันสมัย ที่มีราคาสูง รวมไปถึงการก่อสร้าง แต่มิได้มีการวางลำดับความสำคัญของการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์สำหรับครู เพื่อการพัฒนาสาระวิชา และสร้างการสอนที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นเลย ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญ และเป้าหมายที่คุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน จึงต้องเป็นสิ่งที่พึงระลึกไว้เสมอ เมื่อต้องอนุมัติโครงการใดก็ตามที่เสนอมา ส่วนการบรรจุ แต่งตั้ง
โยกย้ายครู และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนใหญ่มักเป็นการย้ายตามความประสงค์ของครู หรือบุคลากรทางการศึกษา
แต่ไม่ใช่ความจำเป็นของนักเรียน และโรงเรียน แต่อย่างใด ดังนั้น ก่อนการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย รัฐมนตรีต้องมีข้อมูลชัดเจนถึงความต้องการ และปัญหาจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง เพื่อบริหารจัดการการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย ให้ตรงกับความต้องการ และปัญหาของโรงเรียนนั้นๆ นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน และชั้นเรียนอย่างแท้จริง
3.ประการที่สาม “วัฒนธรรมการบริหาร” เป็นสิ่งสำคัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ต้องส่งเสริม
ให้ “คนเก่งและดี” มีความเจริญก้าวหน้า และได้รับบทบาทให้ช่วยทำงานสำคัญ ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เพราะการพัฒนาระบบการศึกษาต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลสำเร็จ ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการต้องสร้าง และรักษาข้าราชการที่ดี และมีคุณภาพ ให้ทำหน้าที่อย่างมีเกียรติ และเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้าราชการครู กระทรวงต้องเปิดโอกาสให้ครูได้สอนหนังสืออย่างเต็มที่ ด้วยกระบวนการที่ถูกต้อง และไม่ปล่อยให้ครูต้องเอาเป็นเอาตายกับงานนอกชั้นเรียน หรือนอกโรงเรียน ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยสนับสนุนใดๆ ก็ตาม
ที่สำคัญ ระบบบริหารของกระทรวงต้องรักษาครูที่ดี ที่เก่ง เป็นที่ต้องการของพื้นที่เอาไว้ ไม่ให้ลาออกหรือขอย้ายจากพื้นที่ที่นักเรียนต้องการ ด้วยการจูงใจและสนับสนุนครูเหล่านั้นอย่างเหมาะสมกับความสามารถ และประสบการณ์ เพื่อที่นักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสจะได้ครูดีๆ ที่มีคุณภาพสำหรับพวกเขา เช่น การปรับค่าตอบแทนครูในชนบทห่างไกลหรือโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีผลการสอนตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรเพิ่มเงินพิเศษอีกเดือนละ 5,000 บาท นอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ และค่าตอบแทนอื่นๆ ที่ระบบปัจจุบันกำหนดเอาไว้
4.ประการสุดท้าย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการน้อยคนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้วสามารถปฏิบัติงานได้ทันที เพราะส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยรู้ และเข้าใจในปัญหาสำคัญของระบบการศึกษา ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้ายอมรับว่าไม่รู้ และกล้าที่จะถาม และหาคำตอบจากคนที่รู้แต่การไม่รู้ แล้วคิดว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว นี่เป็นปัญหา และอันตรายมาก ดังนั้น รัฐมนตรีต้องจำให้ขึ้นใจว่า “ข้าราชการในกระทรวงแนะนำอะไร ให้รับฟังเท่านั้น” จากนั้นค่อยมาคิดทบทวน และหาความเห็นเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบ และหา “คำตอบ” อันเหมาะสมที่สุด และที่สำคัญ นโยบายหรือโครงการใด ที่ต้องตัดสินใจอนุมัติให้ทำ ขอให้ถามอย่างละเอียดว่า “โครงการนี้ หรือเรื่องนี้ จะปฏิบัติอย่างไร และสุดท้ายนักเรียนได้รับประโยชน์เป็นอะไร แค่ไหน และเมื่อไหร่” ถ้าคำตอบทั้งหมดตรงกับเป้าหมายอย่างชัดเจน และอยู่ในลำดับความสำคัญ การสั่งการจึงตามมา
ทั้งหมดนี้ อาจเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากในการปฏิบัติ แต่ที่ผ่านมา อดีตรัฐมนตรีหลายท่านแม้จะขยันทำงานอย่างมากมาย แต่ก็ตกม้าตาย เพราะงานที่ทำมันไม่ได้ไปตอบโจทย์ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน ทำให้นักเรียน และผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย รู้สึกเสียดายงบประมาณ เวลา และโอกาสที่พวกเขาควรจะได้รับอย่างคุ้มค่า และเห็นผล
ผมจึงหวังว่า รัฐมนตรีคนใหม่ “คุณตรีนุช เทียนทอง” จะให้ความสำคัญต่อความปรารถนาดีครั้งนี้ และร่วมด้วยช่วยกันวางรากฐานการศึกษาของประเทศไทย ให้เป็นที่ยอมรับได้อย่างแท้จริง
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี