พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ “TIJ” สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงข้อสรุปจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (UN Crime Congress) สมัยที่ 14 เมื่อเดือน มี.ค. 2564 ณ เมืองเกียวโตประเทศญี่ปุ่น ว่า ปฏิญญาเกียวโตว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม (Kyoto declaration on Crime Prevention) เป็นเอกสารสำคัญที่บ่งชี้ถึงสถานการณ์และแนวโน้มของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของโลก ซึ่งจากที่ประชุมสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก
1.การป้องกันอาชญากรรมโดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based crime prevention) ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ผ่านตัวชี้วัด สถิติ และการประเมินผลมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เช่น สร้างกลไกติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของตำรวจผ่านตัวเลขการเกิดอาชญากรรมในพื้นที่นั้นว่าลดลงหรือไม่ ประชาชนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งยังมีความท้าทายในเชิงปฏิบัติ เพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ
2.กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเชิงบูรณาการ (Integrated Criminal Justice System) การลงโทษเป็นกระบวนการที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้กระทำความผิดแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นๆ โดยครอบคลุมตั้งแต่โทษปรับและโทษจำคุก แต่ในการประชุมครั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานด้านยุติธรรมทั่วโลกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของการลงโทษที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผ่านตัวชี้วัดที่สำคัญคืออัตราการกระทำผิดซ้ำ (Recidivism rates) เพราะในหลายประเทศยังมีอัตราการกระทำความผิดซ้ำของผู้ที่ถูกลงโทษด้วยการจำคุกไปแล้วอยู่ในระดับสูง และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น
จึงต้องกลับมาทบทวนว่า หากเป้าหมายของการลงโทษผู้กระทำความผิด คือ เพื่อสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนในการจำกัดเสรีภาพไปด้วย แต่วิธีการที่ใช้อยู่ กลับทำให้มีผู้กระทำความผิดซ้ำในอัตราสูง เป็นแนวทางที่ได้ผลจริงหรือไม่ ที่ประชุมจึงพยายามโน้มน้าวประเทศสมาชิกให้พิจารณามาตรการทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่การจำคุก เพื่อสร้างกระบวนการที่มุ่งเน้นผลลัพธ์คือการคืนคนสู่สังคม เช่น งานคุมประพฤติ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หรือการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring) เป็นต้น
“การจำคุกอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดในบางกรณี อาทิมีหลายคดีในประเทศไทย ที่ใช้การจำคุกเพื่อลงโทษคนที่ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง ทั้งที่คนเหล่านี้ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติได้โดยใช้มาตรการคุมประพฤติเท่านั้น หรือผู้ใช้ยาเสพติดจำนวนมากควรที่จะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษามากกว่าการคุมขัง แต่เมื่อใช้วิธีส่งผู้กระทำความผิดเล็กน้อยเข้าไปอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงในเรือนจำ ก็อาจทำให้เขาไปเรียนรู้วิธีการกระทำความผิดเพิ่มมาจากในเรือนจำ
และเมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว ก็ไม่ได้โอกาสจากสังคมในการประกอบอาชีพสุจริต เพราะมักจะมีข้อกำหนดว่าไม่รับผู้ที่เคยมีประวัติต้องโทษเข้าทำงาน ทำให้คนเหล่านั้น ใช้ความรู้ในด้านที่ไม่ดีซึ่งรู้มาจากในเรือนจำ ไปกระทำความซ้ำผิดซ้ำ จนต้องกลับมารับโทษอีก ดังนั้น การแสวงหาทางเลือกอื่นๆ แทนการจำคุก และ
ไม่กระทบต่อความปลอดภัยของสังคม จึงเป็นแนวโน้มสากลที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่ง TIJ เป็นหนึ่งในองค์กรที่ศึกษามาตรฐานสากล ทำงานวิจัยเกี่ยวกับมาตรการทางลือกเหล่านี้ จึงเชื่อว่า จะสามารถช่วยงานในส่วนนี้ได้” ผอ.TIJ ระบุ
3.การส่งเสริมหลักนิติธรรม (Rule of Law) ผ่านวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกา (Culture of Lawfulness) สังคมจะสงบสุขได้ จำเป็นต้องมีหลักนิติธรรมเป็นปัจจัยพื้นฐาน และสังคมนิติธรรมจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการบ่มเพาะวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกา (Culture of Lawfulness) แต่การจะทำให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม หรือทำให้ประชาชนพึงพอใจกับกติกาที่รัฐใช้อยู่ได้ รัฐก็จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ใช้กติกาอยู่ในหลักนิติธรรม
ดังนั้น การจะทำให้สังคมมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง ไม่สามารถทำได้โดยการเพิ่มอำนาจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ต้องขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นควบคู่กันไปด้วย และการให้ความรู้เรื่องหลักนิติธรรมกับเยาวชน เป็นหนึ่งในแนวทางจะช่วยสร้างสังคมในอนาคตที่มีความเข้มแข็ง และ 4.การส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบต่างๆ (Transnational Organized Crime)ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบอาชญากรรมมีลักษณะข้ามพรมแดน ซับซ้อน และมีความรุนแรงมากขึ้น
สวนทางกับ “ต้นทุนในการก่ออาชญากรรม” ที่ลดลง เพราะมีช่องทางออนไลน์ในการก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น ทำให้การต่อต้านอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะอาชญากรรมทางไซเบอร์ เป็นอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่ ไร้พรมแดนผู้ก่อเหตุและเหยื่ออาจอยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร อยู่คนละประเทศซึ่งมีข้อจำกัดทางกฎหมายแตกต่างกัน
ดังนั้น การต่อสู้กับอาชญากรรมรูปแบบใหม่นี้ จึงต้องรวมไปถึงความร่วมมือในหลายภาคส่วน (Cross-Sectoral Collaboration) ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ!!!
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(TIJ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี