สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีหน้าที่ดำเนินงานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ รวมทั้งให้บริการด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์และด้านความปลอดภัยทางรังสี
โดยหนึ่งในพันธกิจหลักของสถาบันฯ คือ บริหารจัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้เป็นศูนย์กลางสนับสนุนครอบคลุมทั้งการเดินเครื่องและใช้งานเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยและเครื่องเร่งอนุภาคกำลังสูงเพื่อรองรับการผลิตไอโซโทปรังสี การศึกษาวิจัยด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์และวัสดุศาสตร์ การวิจัยและพัฒนารวมทั้งการให้บริการด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
นอกจากนี้ ยังเป็นหน่วยงานติดต่อประสานงานทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ
ด้วยพันธกิจดังกล่าว สทน. จึงมีโครงการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในส่วนเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอน (Cyclotron) เพื่อการขยายงานโครงการต่างๆ ด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์ทั้งทางการแพทย์ อุตสาหกรรมการเกษตรและการศึกษาวิจัย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศ และทันกับความก้าวหน้าของวิทยาการชั้นสูงของนานาอารยประเทศในอนาคต
อีกทั้งเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนเป็นการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการสร้างองค์ความรู้ที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สทน.ได้ตั้งคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งศูนย์ไซโคลตรอน เพื่อทำการศึกษาคุณลักษณะเฉพาะทางเทคนิค วิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล และการใช้ประโยชน์ของเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอน ในการผลิตไอโซโทปรังสีที่เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยไม่สามารถผลิตได้ หรือผลิตได้แต่มีขั้นตอนยุ่งยากกว่า เพื่อให้บริการสารเภสัชรังสีครอบคลุมด้านการแพทย์
รวมถึงการวิจัยพัฒนาและการให้บริการวิชาการด้านฟิสิกส์ ตลอดจนบริการด้านอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยพิจารณาคุณลักษณะและความเหมาะสมของเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอนสำหรับรองรับการให้บริการตามนโยบายสถาบันฯ
จากข้อสรุปของคณะอนุกรรมการฯเห็นว่า สทน.มีความจำเป็นต้องขยายงานโครงการต่างๆ เพื่อให้ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์หลักที่องครักษ์มีเครื่องมือและอุปกรณ์วิจัยหลักที่สำคัญเพื่อรองรับความต้องการด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของประเทศ
ดังนั้น นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐานด้านเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องจัดหาเครื่องเร่งอนุภาคที่เหมาะสมในการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรมและการวิจัยพัฒนา อันจะส่งผลถึงการพัฒนาด้านกำลังคนและการศึกษาในระดับสูงด้วย
ปัจจุบันเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอนเป็นเครื่องมือที่สถาบันวิจัยชั้นนำทั่วโลกจัดหาไว้สำหรับผลิตไอโซโทปรังสีที่ไม่สามารถผลิตด้วยเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยได้ที่ไอโซโทปรังสีที่ผลิตได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เภสัชรังสีซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนวิทยาการด้านการแพทย์ทั้งการวินิจฉัยและบำบัดรักษา การใช้สารรังสีสำหรับติดสลากเพื่อประยุกต์ในเทคนิคนิวเคลียร์ทางด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม
อีกทั้งการติดตั้งช่องนำลำอนุภาค (ไอออน) ที่เหมาะสมยังสามารถใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติของสารกึ่งตัวนำ ซึ่งเป็นวัสดุเริ่มต้นของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (Power electronic device) ที่กำลังมีความต้องการสูงในตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ไฮบริดและอุปกรณ์แปลงผันไฟฟ้าด้านพลังงานทดแทน
นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือวิจัยขั้นสูงสำหรับรองรับงานด้านวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ดังนั้นโครงการศูนย์ไซโคลตรอนสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จึงเป็นโครงการเพิ่มศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมากมีเครื่อง PET(Positron Emission Tomography) ให้บริการคนไข้ แต่การตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์เภสัชรังสีที่ผลิตด้วยเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอน
และแม้จะมีโรงพยาบาล 2-3 แห่งที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอนขนาดเล็ก (Compact cyclotron) เพื่อผลิตสารเภสัชรังสีขึ้นใช้เองก็ตามแต่โรงพยาบาลเหล่านั้นต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องผลิตสารเภสัชรังสีและการบำรุงรักษาซึ่งสูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและอาจใช้งานเครื่องไม่คุ้มค่า
นอกจากนี้ ยังมีความต้องการเภสัชภัณฑ์รังสีที่ผลิตด้วยเครื่องเร่งอนุภาคชนิดไซโคลตรอนพลังงานสูงสำหรับใช้กับเครื่อง SPECT (Single Photon Emissision Computed Tomography) ซึ่งเป็นเครื่องมือวินิจฉัยพื้นฐานและทางโรงพยาบาลยังต้องนำเข้าเภสัชภัณฑ์รังสีนี้จากต่างประเทศซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ต่อมาในปี 2560 สทน. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคาร และติดตั้งเครื่องไซโคลตรอนขนาด 30 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์, ติดตั้งไอโซโทปรังสีพร้อมอุปกรณ์สำหรับผลิตไอโซโทปรังสีใช้ในเครื่อง SPECT, ไอโซโทปรังสีใช้ในเครื่อง PET และไอโซโทปรังสีด้าน Therapy ได้แก่ I-123, I-124, Tl-201, Re-186, Cu-64, Ga-67,In-111 และ Y-86 และไอโซโทปรังสีรอง C-11, N-13, O-15 และ F-18
โดยเฉพาะการผลิตไอโซโทปรังสีสำหรับเครื่อง PET และเครื่อง SPEC ได้แก่ ที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น TlCl ตรวจวินิจฉัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และ Ga-citrate ตรวจวินิจฉัยต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) และการอักเสบสำหรับเครื่อง SPEC ปัจจุบันสารเภสัชรังสีทั้ง 2 ตัวนี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ 100% และการศึกษาโรคทางพันธุกรรม และการวัดการกระจายตัวระหว่างการรักษามะเร็งด้วยCu-DOTATATE สำหรับเครื่อง PET
และเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เข้าเยี่ยมชมการติดตั้งเครื่องไซโคลตรอน ขนาด 30 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีสำหรับการฉลองครบรอบ 15 ปี การจัดตั้ง สทน. และเครื่องไซโคลตรอนนี้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะใช้ผลิตเภสัชรังสีของไทย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า 2565 นี้
ผู้อำนวยการ สทน. ได้กล่าวถึงเครื่องไซโคลตรอนว่า เครื่องที่ติดตั้งอยู่นี้มีขนาดใหญ่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเดินเครื่องแล้วจะทำให้ไทยมีศักยภาพในการผลิตสารเภสัชรังสี โดยเฉพาะที่สามารถใช้สำหรับการวินิจฉัยโดยเครื่อง PET และ SPECT ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูงผู้ป่วยจะได้เข้าถึงการรักษาที่ทันสมัยและทันท่วงที อย่างน้อย 80,000 คน ในปีแรกจะเพิ่มขึ้นปีละ 10%
ซึ่งเมื่อประเทศไทยสามารถผลิตภัณฑ์สารเภสัชรังสีได้เองก็จะประหยัดเงินตราต่างประเทศในการนำเข้าสารเภสัชรังสีได้มากกว่าปีละ 600 ล้านบาท ส่งผลให้การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของไทยมีศักยภาพเพิ่มขึ้น
โดยหลังจากนี้ สทน.จะทดลองเดินเครื่องผลิตเภสัชรังสีและพัฒนาห้องปฏิบัติการผลิตเภสัชรังสีให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งขอขึ้นทะเบียนตำรับยากับทางองค์การอาหารและยา (อย.) และพร้อมให้บริการในเชิงพาณิชย์ในปี 2565 ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี