ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG-Bio Circular Green Economy) พ.ศ. 2564-2569 เป็นวาระแห่งชาติผ่าน 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้น “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ บีซีจีให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนด้วยความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาให้ความสำคัญต่อระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบบ “ทำน้อยได้มาก”
ยุทธศาสตร์ที่ 4 เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการขับเคลื่อน บีซีจี โมเดล จะต้องเสร็จภายใน 5 ปี เพื่อการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ และจะนำแผนยุทธศาสตร์ฯฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)ในฐานะหน่วยงานหลักที่ริเริ่มนโยบายบีซีจี มาเป็นโมเดลขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจของประเทศจะต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การดำเนินการขับเคลื่อนเกี่ยวกับบีซีจีนั้น สอวช. จะเข้าไปมีส่วนในการสนับสนุนเรื่องของนโยบาย โดยเริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญว่าเรื่องไหนสำคัญอย่างไร จะต้องลงทุนอย่างไร ต้องมีการประสานงานในเชิงนโยบายกับหน่วยงานต่างๆ ที่จะเสริมสร้างเรื่องแรงจูงใจในการขับเคลื่อนในเชิงของการลงทุน
อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างมากคือเรื่องของการพัฒนากำลังคนที่จะมาสนับสนุนเรื่องบีซีจี ซึ่ง สอวช. ได้เข้าไปศึกษาในแง่ของความต้องการกำลังคน ว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ต้องการคนกลุ่มไหน มีลักษณะอย่างไร รวมไปถึงการศึกษาว่าจะนำบีซีจีเข้าไปช่วยในการฟื้นตัวของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างไร ที่สำคัญคือการรวบรวมข้อมูลการศึกษาในด้านกฎหมาย และหาแนวทางการปลดล็อกทางกฎหมายบางตัวที่อาจมีส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาด้านบีซีจี
ในด้านการฟื้นฟูประเทศ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เชื่อว่าโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีจะเป็นแนวทางในการช่วยฟื้นฟูประเทศได้ แต่การดำเนินงานส่วนหนึ่งต้องมีการปรับลำดับความสำคัญ โดยตามลักษณะพื้นฐานของโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องของโรคอุบัติใหม่ แล้วขณะนี้ก็กลายเป็นโรคอุบัติซ้ำ คือการเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายระลอก ทำให้เกิดผลกระทบหลายมิติตามมา ไม่ว่าจะเป็น มิติเรื่องสุขภาพ ที่กลายมาเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยในเรื่องของระบบสุขภาพมากขึ้น
“อีกมิติหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อันเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 ส่วนแรกคือเรื่องของการปิดตัวหรือขายของไม่ได้ ทำให้เกิดผลกระทบ
ต่อการจ้างงาน สิ่งที่ อว. ได้ทำไปแล้วก็จะมีการจ้างงานชั่วคราว สร้างให้เกิดงานขึ้นในชุมชน และเมื่อมีความเกี่ยวข้องกับชุมชนก็จะเชื่อมโยงไปถึงภาคเกษตร การท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ อีกส่วนหนึ่งที่ต้องได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนคือกลุ่มของ SMEs มีการลงเรื่องของงานวิจัยที่จะช่วยกลุ่ม SMEs ได้มากขึ้น รวมถึงสนับสนุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานต้นแบบ เป็นต้น” ดร.กิติพงค์กล่าว
นอกจากนี้ สอวช. ยังคำนึงถึงประเด็นด้านความยั่งยืนที่จะเกิดขึ้นภายในประเทศ จึงเข้ามาศึกษาในด้าน Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มขึ้นด้วย
ในด้านบทบาทของภาคประชาชนและ SMEs ที่ต้องปรับตัวให้พร้อมสำหรับนโยบายบีซีจี ดร.กิติพงค์ให้ข้อชี้แนะว่า กลุ่มเกษตรจะต้องปรับตัวในเรื่องการใช้ Smart Farming หรือเกษตรอัจฉริยะ เรื่องของเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เพื่อให้ผลผลิตออกมาได้มาตรฐานทุกครั้ง โดยเกษตรกรต้องเริ่มคิด เริ่มปรับตัว ส่วนทางฝั่งของรัฐเองก็จะเข้าไปสนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของกลุ่ม SMEs ก็จะต้องปรับตัวแนวคิดใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมเพิ่มเติมเข้าไปในการประกอบธุรกิจ
ปัจจุบัน สอวช. กำลังคิดที่จะทำแซนด์บอกซ์ ในกลุ่มนวัตกรรมบางอย่าง เช่น นวัตกรรมทางด้านเครื่องมือแพทย์ที่ทำออกมาแล้วให้ได้มาตรฐาน และนำไปทดลองใช้ในโรงพยาบาลต่างๆ เมื่อเกิดการนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงค่อยนำไปขยายผลในการพัฒนาต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนให้ตอบสนองต่อความต้องการ ด้านภาครัฐจะต้องมีตลาดเข้ามาช่วยสนับสนุนการซื้อในช่วงแรก เพื่อร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจ บีซีจีขึ้นในประเทศได้
ดร.กิติพงค์ ยังได้ให้ความมั่นใจกับประชาชนและผู้ประกอบการว่า ทิศทางของบีซีจีเป็นทิศทางที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ประเทศไทยมี และภาครัฐได้พยายามเตรียมการอะไรหลายอย่างขึ้นมาในการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทุนหรือการทำวิจัยนวัตกรรม รวมถึงการปลดล็อกทางด้านกฎหมายที่เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะในภาคส่วนที่เป็นเรื่องเกษตร เรื่องอาหาร เรื่องสุขภาพ เรื่องการแพทย์เรื่องของพลังงาน เรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในประเทศ จึงต้องมีการเตรียมการในการทำงานอย่างเต็มที่ และมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาวและต่อเนื่อง
“ในช่วงนี้ ตัวแปรสำคัญคือ วัคซีน หากสามารถฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่บีซีจีโมเดล ประเทศชาติก็จะฟื้นฟูได้เร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ ก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เนื่องจากโมเดลดังกล่าว ต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายแห่ง จำเป็นต้องปลดล็อกกฎหมายและยืดหยุ่นในการทำงานในหลายจุด ซึ่งหากได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างจริงจังก็จะทำให้การฟื้นฟูประเทศทำได้เร็วขึ้น” ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี