“วัคซีน” ทางเดียวในการคลี่คลายวิกฤติไวรัสโควิด-19 ซึ่งแม้ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจะแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละยี่ห้อ แต่ทุกยี่ห้อเหมือนกันป้องกันการติดเชื้อแล้วเกิดอาการป่วยรุนแรงที่สุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ซึ่งเมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ป่วยรุนแรง หรือเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ระบบสาธารณสุขก็จะยังพร้อมให้บริการในภาพรวม อีกทั้งกิจกรรมทางศรษฐกิจต่างๆ ก็จะกลับมาดำเนินการได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
ดังที่เห็นในบางชาติที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรไปแล้วมากกว่าครึ่งประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล มาตรการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่ใช้เพื่อควบคุมโรคถูกผ่อนคลายลง พร้อมๆ ไปกับจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่ลดลง ซึ่งสำหรับประเทศไทย รัฐบาลตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบปูพรมเข็มแรกก่อนให้ได้ 50 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศ ภายในสิ้นปี 2564 หรือหากเร็วกว่านั้นคือในเดือนก.ย. ปีเดียวกัน
“ยิ่งฉีดเร็ว..ชีวิตปกติยิ่งกลับมาไว” ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการปูพรมฉีดวัคซีนเกิดขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น ภาคเอกชนที่ให้ใช้พื้นที่ห้างสรรพสินค้าเป็นจุดฉีดวัคซีน รวมถึงสถาบันการศึกษา อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปิดบริการรับฉีดวัคซีนโควิด-19 ณ ศูนย์บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชั้น 4 อาคารจามจุรีสแควร์ สามย่าน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา
เวลาประมาณแปดโมงเช้าเศษๆ ของวันที่ 21 พ.ค. 2564 แม้ร้านค้าในอาคารจามจุรีสแควร์จะยังไม่เปิด แต่บริเวณชั้น 3 ก็มีผู้คนจำนวนมากมารอตรวจสอบการลงทะเบียนเพื่อจัดคิวขึ้นไปฉีดวัคซีนที่ชั้น 4 โดย ศ.นพ.ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการศูนย์บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เปิดเผยว่า จุฬาฯ เปิดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับบุคลากรด้านการศึกษา ตลอดจนคนทำงานด้านบริการสาธารณะ เช่น พนักงานรถโดยสารประจำทาง ใน 3เขตใกล้เคียง คือปทุมวัน สาทร และบางรัก
ซึ่งพบว่า ประชาชนให้ความสนใจเกินกว่าที่คาดไว้มาก จากเดิมที่ตั้งเป้าฉีดไว้ที่ 2,000-2,500 คนต่อวัน แต่เปิดมาเพียง 4 วัน (17-20 พ.ค. 2564) ก็ฉีดไปแล้วมากกว่า 1 หมื่นคน โดยศูนย์ฯ จะเปิดทุกวันจันทร์-เสาร์ ทั้งนี้ เนื่องจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นพื้นที่เสี่ยงมีสถานการณ์โรคระบาดรุนแรง ก็จะมีการขยายการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงในเขตอื่นๆ มากขึ้น โดยมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ที่มีความพร้อม ร่วมตั้งจุดฉีดวัคซีนอีกทาง
“การฉีดวัคซีนของเรามีลักษณะเป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อความรวดเร็ว ฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหมอพร้อม ท่านแค่ในแต่ละองค์กรรวบรวมรายชื่อแล้วแจ้งมาที่เรา เราจะทำหน้าที่ลงทะเบียนให้ท่านให้เรียบร้อย เมื่อท่านมาถึงหน้างานตามวันที่เรานัด ท่านก็ไม่ต้องมาลงใหม่ ประหยัดเวลามาก สามารถเข้ารับบริการการฉีดวัคซีนได้เลย ซึ่งเรามองว่ากระบวนการแบบนี้จะทำให้คนที่เป็นกลุ่มก้อนเข้าถึงการได้รับวัคซีนได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น จะได้ทำให้อัตราการครอบคลุมประชากรเร็วกว่าที่ผ่านๆ มา” ศ.นพ.ดร.นรินทร์ ระบุ
รองอธิการบดี จุฬาฯ ยังฝากถึงประชาชนที่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน ว่า นับตั้งแต่มีการฉีดวัคซีนในประเทศไทยไปแล้ว 2 ล้านกว่าคน พบผู้มีอาการผลข้างเคียงไม่ถึงร้อยละ 10 และส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงในระดับไม่ร้ายแรง เช่น มีไข้ ปวดเมื่อย ส่วนกรณี วัคซีนแอสตราเซเนกา ที่มีข่าวในต่างประเทศเรื่องผลข้างเคียงลิ่มเลือดอุดตัน ในความเป็นจริงก็พบได้น้อยมาก อีกทั้งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เกิดกับคนอายุไม่มาก และส่วนใหญ่พบในโลกตะวันตกมากกว่าตะวันออก วัคซีนจึงมีประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง
ส่วนประเด็นการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรในศูนย์เด็กเล็กนั้น เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศเปิดภาคเรียนในวันที่ 14 มิ.ย. 2564 บุคลากรทางการศึกษาจึงมีความสำคัญมากโดยเฉพาะบุคลากรในศูนย์เด็กเล็ก รวมถึงบุคลากรที่ต้องดูแลเด็กด้อยโอกาสซึ่งมีข้อจำกัดในการเรียนออนไลน์ ผู้สอนกับผู้เรียนจำเป็นต้องพบเจอกัน ดังนั้นหากครูยังมีความเสี่ยง ยังไม่ปลอดภัยในแง่การติดเชื้อโควิด-19 ก็อาจจะแพร่เชื้อให้กับนักเรียนได้
“ครูของโรงเรียนเด็กเล็กแล้วก็เด็กด้อยโอกาส เป็นเป้าหมายหลักเลยที่เราอยากจะเร่งการฉีดวัคซีนเพื่อให้ครอบคลุมให้มากที่สุด จะได้ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เด็กในโรงเรียนด้วย และสร้างความมั่นใจให้กับครูในโรงเรียนด้วย บางคนอาจยังเกิดข้อกังขา การฉีดซิโนแวคเข็มแรกมันอาจยังป้องกันได้ไม่เต็มที่ แต่หลังจาก 3 สัปดาห์ที่ท่านได้เข็มที่ 2 ไปแล้ว ท่านจะมีภูมิคุ้มกันสูงพอที่จะป้องกันได้เกิน 90% ฉะนั้นเราเชื่อว่าถ้าสามารถดำเนินการแบบนี้ได้ ในโรงเรียนของเด็กเล็กก็จะเกิดความปลอดภัย โอกาสที่ครูจะแพร่เชื้อให้เด็กเล็กก็จะน้อยลง” ศ.นพ.ดร.นรินทร์ กล่าว
ด้าน ไพรัตน์ อุดมไพรพฤกษ์ นายกสมาคมพัฒนาสถานรับเลี้ยงเด็กไทยเปิดเผยว่า เนื่องจากครอบครัวไทยสมัยใหม่ทั้งพ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่สถานรับเลี้ยงเด็กจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งนับแต่สถานรับเลี้ยงเด็กถูกปิด พบการติดเชื้อโควิด-19 ในเด็กเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อไม่มีใครดูแลพ่อแม่ก็ต้องพาลูกไปเลี้ยงในสถานที่ทำงาน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงตั้งแต่การเดินทาง โดยเฉพาะการใช้บริการขนส่งมวลชน ไปจนถึงการพบปะคนอื่นๆ ในที่ทำงาน
โดยทางสมาคมฯ ได้ยื่นขอไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับบุคลากรในศูนย์เด็กเล็กเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป ซึ่งก็ได้รับความกรุณาจากทางจุฬาฯ เป็นอย่างดี และแม้ขณะนี้สถานรับเลี้ยงเด็กจะถูกปิดเป็นการชั่วคราว แต่สมาคมฯ ก็ทำงานกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการลงทะเบียนครูผู้ดูแลเด็กทั่วประเทศ ยื่นต่อรัฐบาลเพื่อขอรับวีคซีนถัดจากกลุ่ม 7 โรคและกลุ่มผู้สูงอายุ
“ในกลุ่มที่เราดูแลจะเป็นเด็กแรกเกิด-6 ขวบ ซึ่งยังไม่สามารถรับวัคซีนได้ ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือผู้ดูแลจะต้องมีภูมิคุ้มกัน ได้รับการฉีดวัคซีนก่อน แล้วปกติเด็กกลุ่มนี้เขาก็มีตารางวัคซีนของเขาในช่วงอายุของเขาอยู่แล้ว ถ้าครูผู้ดูแลเด็กมีภูมิคุ้มกันแล้ว คิดว่าจากระบบมาตรการที่เราควบคุม น่าจะช่วยให้เด็กๆ ไม่ได้รับเชื้อ การที่ครูผู้ดูแลเด็กได้รับการฉีดวัคซีน แน่นอนมันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง ทำให้ผู้ปกครองสามารถนำลูกมาฝากในสถานรับเลี้ยงเด็กได้” ไพรัตน์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี